ผลิตภัณฑ์

  1. หุ้น เป็นหุ้นส่วนบริษัท ด้วยเงินหลักร้อย
  2. กองทุน เปิดพอร์ตแบบอีซี่.. มีมืออาชีพคอยดูแลให้
  3. Intelligent Portfolios เปิดโหมดอัตโนมัติสำหรับดูแลการลงทุน
  4. สินทรัพย์ดิจิทัล การลงทุนบนสินทรัพย์แห่งอนาคต
  5. ตราสารหนี้และหุ้นกู้ ลงทุนเพื่อผลตอบแทนระยะยาว
  6. ตราสารอนุพันธ์ มองการณ์ไกล ด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
  7. บริการยืมและให้ยืมสินทรัพย์ ปล่อยเช่า-ขอยืมหุ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน
  8. กองทุนส่วนบุคคล มีผู้จัดการช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายขึ้น
  9. คู่มือการใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา

แหล่งความรู้ด้านการลงทุน

  1. เริ่มลงทุนก้าวแรก เริ่มลงทุนก้าวแรก
  2. ลงทุนตามสินทรัพย์ ลงทุนตามสินทรัพย์
  3. บทวิเคราะห์การลงทุน บทวิเคราะห์การลงทุน
  4. แหล่งความรู้ครอบจักรวาลการลงทุนเพื่อทุกคน แหล่งความรู้ครอบจักรวาลการลงทุนเพื่อทุกคน

ข่าวสารและโปรโมชัน

  1. โปรโมชันและสิทธิพิเศษเพื่อคุณ
  2. อัปเดตข่าวสาร
  3. ประกาศ
  4. Point to invest
  5. INVX Point​
scbs image

โปรโมชันและสิทธิพิเศษ

พิเศษสำหรับลูกค้า Innovestx เท่านั้นใช้พอยต์แลกกองทุนรวมที่โดนใจ

ดูเพิ่มเติม

เกี่ยวกับเรา

  1. เกี่ยวกับเรา ร่วมเติบโตอย่างยั่งยืนไปกับเรา InnovestX
  2. ร่วมงานกับเรา ก้าวไปข้างหน้าแบบมีสไตล์
ค้นหาล่าสุด
เคลียร์
{{GetHitSearchValue.keywordTitle}}

5 เทคนิคลงทุนกองทุนรวมสร้างผลตอบแทนดี มือใหม่ทำได้!

blog_list_heading
26 ก.ค. 2566;
15289
แชร์บทความนี้
test_blog_details_img

เนื้อหาโดยรวม

    อยากมั่งคั่งด้วยกองทุนรวม แต่ไม่รู้จะเริ่มลงทุนในกองทุนรวมอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ มาปูพื้นฐานด้วย 5 เทคนิคการลงทุนกองทุนรวมให้ตอบโจทย์

บนโลกนี้มีคนเป็นล้านคน การจะตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนให้ลงตัวคงฟังดูเป็นเรื่องที่ยาก อย่างไรก็ดี แม้จะมีความซับซ้อนที่ไม่ต่างกัน แต่โลกของการลงทุนกลับสามารถตอบโจทย์ทุกเป้าหมายที่หลากหลายของนักลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยสินทรัพย์ที่เรียกว่า ‘กองทุนรวม’

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองทุนรวมให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องอาศัยความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกองทุนรวมเช่นกัน ดังนั้น ก่อนที่จะไปเปิดพอร์ตลงทุนกองทุนรวม ลองมาทำความรู้จักกับ 5 เทคนิคสำคัญที่นำมาฝากในวันนี้ เพื่อช่วยให้การเริ่มต้นลงทุนกองทุนรวมเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นกัน

5 เทคนิคซื้อกองทุนยังไงให้รวย

1. รู้จักประเภทกองทุนรวมให้ครบ

การเติบโตทางธุรกิจจำเป็นต้องอาศัยเงินทุนในการขยายกิจการ แต่นอกเหนือจากการขอสินเชื่อกับสถาบันทางการเงินแล้ว ธุรกิจยังสามารถกำหนดเปิด ‘กองทุนรวม’ เพื่อระดมทุนจากนักลงทุนได้ โดยจะมี ‘ผู้จัดการกองทุน’ คอยดูแลบริหารจัดการเงินและนำเงินไปลงทุนตามนโยบายในหนังสือชี้ชวน ในปัจจุบันนี้ นักลงทุนสามารถลงทุนในกองทุนรวมได้ 8 ประเภทหลัก ซึ่งจะประกอบไปด้วย

1. กองทุนรวมตราสารหนี้ คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ ส่วนใหญ่จะมีความเสี่ยงต่ำ ทำให้เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่เน้นการลงทุนระยะยาว โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ทั้งกองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น และกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว

2. กองทุนรวมตลาดเงิน เป็นการลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เนื่องจากเป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ที่มีกำหนดชำระเงินต้นเมื่อทวงถาม หรือ มีอายุคงเหลือไม่ถึง 1 ปี

3. กองทุนรวมตราสารทุน คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุน หรือ หุ้นประเภทต่าง ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ มีความผันผวนสูง เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงด้านการลงทุนได้สูง

4. กองทุนรวมใบสำคัญแสดงสิทธิ กองทุนรวมเน้นการลงทุนในใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้นกู้ หุ้นในตลาดหุ้น ไปจนถึงหน่วยลงทุน ถือเป็นการลงทุนกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด

5. กองทุนรวมหน่วยลงทุน หากอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ กองทุนรวมประเภทนี้จะเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนรวมอีกที เป็นการลงทุนที่มีความหลากหลายสูง มีความเสี่ยงให้เลือกลงทุนได้หลายระดับ

6. กองทุนรวมธุรกิจ กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น หรือ ตราสารทุนในธุรกิจหลักประเภทเดียวกัน เลือกลงทุนได้เฉพาะกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเท่านั้น ทำให้เป็นการลงทุนแบบกระจุกตัวและมีความเสี่ยงที่สูง

7. กองทุนรวมผสม คือ กองทุนรวมที่ลงทุนในหลักทรัพย์ หรือ ทรัพย์สินประเภทต่าง ๆ ซึ่งจะมีการกำหนดสัดส่วนอยู่ที่ 35% - 65% ถือเป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงปานกลาง เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ตลอดจนผู้ที่มีเป้าหมายลงทุนในระยะกลางและยาว

8. กองทุนรวมผสมยืดหยุ่น คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนเหมือนกับกองทุนรวมผสม แต่จะไม่มีการกำหนดสัดส่วนของการลงทุนในตราสารทุน ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงระดับปานกลาง เหมาะสำหรับนักลงทุนทั้งมือใหม่ หรือ นักลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุน

นอกจากทั้ง 8 ประเภทนี้แล้ว กองทุนรวมยังสามารถจำแนกความแตกต่างตามจุดประสงค์ของการลงทุนได้เช่นกัน เช่น กองทุนรวมเพื่อการเกษียณ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่มีจุดประสงค์เพื่อการเกษียณอายุและลดหย่อนภาษี ไปจนถึงกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่เน้นการลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในขณะที่ตลาดการลงทุนไทยนิ่ง หรือ มีความผันผวนสูงมาก

2. เข้าใจเรื่องสำคัญที่ต้องเช็กก่อนเลือกกองทุนรวม

จะเห็นได้ว่า กองทุนรวมเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่มีความหลากหลายสูง ทั้งในแง่ของความเสี่ยงและจำนวนผลิตภัณฑ์ที่สามารถเลือกลงทุนได้ ด้วยความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในตลาดการลงทุน นักลงทุนจำนวนไม่น้อยต่างสงสัยเหมือนกันว่า ควรจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมตัวไหนถึงจะให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดกันแน่ โดยการจะตอบคำถามในส่วนนี้ นักลงทุนจะต้องตรวจสอบและทำความเข้าใจ 5 เรื่องสำคัญ ดังนี้

1. นโยบายและทรัพย์สินที่ลงทุน

นักลงทุนควรตรวจสอบให้ละเอียดว่า กองทุนรวมที่เราลงทุนด้วยนี้จะนำเงินไปลงทุนกับทรัพย์สินอะไร มีโอกาสเติบโตและความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน และทรัพย์สินที่นำไปลงทุนด้วยมีข้อมูลเฉพาะใดที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษบ้าง เช่น หากลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้ นักลงทุนจะต้องตรวจสอบถึงประเภทตราสารหนี้ และ การจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ร่วมด้วย

2. ระดับความเสี่ยง

การลงทุนกองทุนรวมจะมีการระบุระดับความเสี่ยงอยู่ที่ 1 - 8 ซึ่งบางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จะมีการระบุระดับความเสี่ยงเอาไว้ให้นักลงทุนตรวจสอบที่หนังสือชี้ชวน โดยความเสี่ยงระดับ 8 จะเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดและจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการลงทุนสูง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นกองทุนรวมทางเลือกที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทอง หรือ น้ำมัน นอกจากนี้ กองทุนรวมตราสารทุนที่เน้นลงทุนในตลาดต่างประเทศก็มีความเสี่ยงสูงจากอัตราแลกเปลี่ยนและความผันผวนของตลาด เช่นเดียวกับกองทุนรวมตราสารทุนไทยก็มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของตลาดหุ้นเช่นกัน

3. ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนรวม

การดูผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนรวม สามารถช่วยประเมินประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ผ่านมาและคาดการณ์ถึงอนาคตได้ โดยนักลงทุนสามารถตรวจสอบผลการดำเนินการย้อนหลังได้ 2 วิธี คือ การดูผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีปฏิทิน หรือ ดูผลตอบแทนย้อนหลังแบบปักหมุดตามช่วงเวลาที่ต้องการ

4. มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value : NAV) เป็นมูลค่าที่แท้จริงของกองทุนรวมที่คำนวณจากการนำกำไรมารวมกับมูลค่าทรัพย์สินในตลาด จากนั้นจึงหักลบกลบหนี้สินและค่าใช้จ่ายทั้งหมดออกไป อย่างไรก็ดี สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ คือ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วย หรือ NAV ต่อหน่วย เพราะจะเป็นค่าที่บอก ‘ความถูกหรือแพง’ ของกองทุนที่สนใจ

อย่างไรก็ดี การมีค่า NAV ต่อหน่วยที่น้อยก็ไม่ได้แปลว่ากองทุนรวมตัวที่สนใจมีราคาถูกเสมอไป แต่อาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยทั้งจากความสามารถในการบริหารกองทุน ผลประกอบการจากสินทรัพย์ที่นำเงินไปลงทุน จังหวะการซื้อขายของนักลงทุนในตลาด ตลอดจนผลประกอบการธุรกิจ ดังนั้น นักลงทุนจะต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย

ที่สำคัญ ค่า NAV และค่า NAV ต่อหน่วยจะประกาศตอนสิ้นวันเท่านั้น ดังนั้น ขอให้ศึกษาค่า NAV ของแต่ละวัน พร้อมติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ และความเคลื่อนไหวของธุรกิจที่เปิดกองทุนรวมให้ดี

5. ข้อมูลสำคัญใน Fund Fact Sheet หรือ หนังสือชี้ชวน

นอกจากทั้ง 4 ข้อที่ผ่านมาแล้ว นักลงทุนยังควรตรวจสอบข้อมูลสำคัญที่แสดงอยู่ในหนังสือชี้ชวน เช่น ตรวจสอบว่ากลยุทธ์การบริหารกองทุนเป็นแบบรุกที่เน้นสร้างผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีชี้วัด หรือ แบบรับที่เน้นสร้างผลตอบแทนเท่ากับดัชนีชี้วัด

นอกจากนี้ นักลงทุนในกองทุนรวมยังควรตรวจสอบถึงอัตราผลขาดทุนสูงสุดในอดีต (Maximum Drawdown) ค่าธรรมเนียม ไปจนถึงอัตราส่วนการหมุนเวียนการลงทุน และ ช่วงเวลาในการฟื้นตัว (Recovering Period) เพื่อพิจารณาถึงกลยุทธ์ ต้นทุนด้านเงินทุนและเวลา ที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้จัดการกองทุน

รวยด้วยกองทุนรวม ทำอย่างไร

3. อย่าลืมกำหนดเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน

ด้วยความหลากหลายด้านผลิตภัณฑ์ ความเสี่ยง อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นด้านเงินลงทุนที่สูง ทำให้การวางแผนจัดพอร์ตรวยด้วยกองทุนรวมเป็นความฝันที่ไม่ไกลเกินความจริงมากนัก

ดังนั้น เมื่อเข้าใจถึงรายละเอียดของกองทุนรวมครบทุกด้านแล้ว สิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญต่อมา คือ การกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน เพื่อเลือกระดับความเสี่ยงและกองทุนรวมที่เหมาะสมกับแต่ละเป้าหมายให้มากที่สุด

หากยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ขอแนะนำให้กำหนดเป้าหมายตามหลัก SMART ดูก่อน โดยเป้าหมายตามหลัก SMART นั้นจะต้องมีความเฉพาะเจาะจง (Specific) วัดผลได้ (Mesurable) ทำได้จริง (Achievable) อยู่บนหลักความเป็นจริง (Realistic) และ มีกรอบเวลาชัดเจน (Time Bound) โดยแทนที่จะกำหนดเป้าหมายสร้างพอร์ตที่เติบโตจนรวยด้วยกองทุนรวมเพียงอย่างเดียว อาจจะลองใส่คำนวณอัตราเงินเฟ้อ พร้อมใส่รายละเอียดเข้าไปอีกสักนิด

ตัวอย่างเช่น

นาย A ต้องการลงทุนกองทุนรวมเพื่อเก็บเงินซื้อบ้านย่านชานเมืองราคา 7 ล้านบาทในระยะเวลา 15 ปี โดยต้องการเงินดาวน์และตกแต่งบ้านก่อน 4 ล้านบาทในช่วงการลงทุน 8 ปีแรก ส่วนอีก 7 ปีหลังเป็นการลงทุนเพื่อผ่อนบ้าน และมีการรวมอัตราเงินเฟ้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนตัวนาย A อายุ 25 ปี มีรายได้ประจำมั่นคง เงินเดือนเพิ่มขึ้น 10% ทุกปี ไม่มีภาระผูกพันทางครอบครัวหรือหนี้สิน แต่มีค่าใช้จ่ายผูกพันเพียงแค่ประกันสุขภาพ 1 ใบ ทำให้รับความเสี่ยงปานกลางถึงสูงได้ ซึ่งจากรายละเอียดทั้งหมดนี้ทำให้นาย A สามารถสโคปกองทุนรวมสำหรับเป้าหมายนี้ให้แคบลงเหลือเป็นกองทุนรวมตราสารทุน และ กองทุนรวมหน่วยลงทุน

4. เลือกกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสม

หลังจากที่กำหนดเป้าหมายการลงทุนอย่างละเอียดและสามารถเลือกกองทุนรวมที่เหมาะสมกับความต้องการได้แล้ว นักลงทุนยังควรเลือกกลยุทธ์การลงทุนที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดตามเงื่อนไขและประสบการณ์การลงทุนของตัวเองด้วย เช่น

1. DCA หรือ Dollar-Cost Averaging

กลยุทธ์การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน มีการกำหนดเงินลงทุนในแต่ละเดือนที่เท่ากัน โดยจะไม่มีการพิจารณาความผันผวนของกองทุนรวมในระหว่างลงทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ผู้ที่ต้องการตัดความเสี่ยงทางอารมณ์ออกจากการลงทุน ไปจนถึงผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะยาว

2. Lump Sum

กลยุทธ์การลงทุนแบบใช้เงินก้อนใหญ่ก้อนเดียวลงทุนในระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดได้ เหมาะสมสำหรับผู้ที่เข้าใจเรื่อง Market Timing และมีประสบการณ์การลงทุนที่สามารถบริหารพอร์ตตัวเองได้

3. Core - Satellite

กลยุทธ์ที่สามารถเลือกลงทุนกองทุนรวมที่สร้างผลตอบแทนทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการลงทุน โดยกลยุทธ์นี้จะแบ่งพอร์ตออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วน Core จะเป็นพอร์ตสำหรับการลงทุนระยะยาว มีความเสี่ยงปานกลางถึงต่ำ และ ส่วน Satellite จะเป็นพอร์ตการลงทุนตามความสนใจ เหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้นที่มีความเสี่ยงสูง

5. ปรับพอร์ตการลงทุนเป็นประจำ

แม้จะตอบโจทย์การลงทุนได้อย่างหลากหลาย แต่โลกของการลงทุนก็ยังไม่มีกองทุนรวมที่สร้างผลตอบแทนที่ดีในตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อมีกองทุนรวมและกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมแล้ว อย่าลืมกำหนดเวลาปรับพอร์ตการลงทุนด้วยการทำ Asset Allocation เพื่อกระจายความเสี่ยงและโอกาสในการสร้างผลตอบแทนไปยังกองทุนรวมตัวอื่น ๆ ด้วย

นอกจากนี้ อย่าลืมหมั่นตรวจสอบและสังเกตกองทุนรวมที่เลือกลงทุนไว้ให้เป็นไปตามกลยุทธ์และแผนที่กำหนดไว้ โดยหากเริ่มมีผลตอบแทน หรือ ความเสี่ยงที่ผิดไปจากแผนเมื่อไหร่ อย่าลืมปรับสัดส่วน หรือ ทำ Portfolio Rebalancing เพื่อให้กองทุนรวมสามารถสร้างผลตอบแทนที่ตรงกับเป้าหมายต่อไป

จากรายละเอียดทั้งหมดนี้ หวังว่าจะช่วยให้นักลงทุนหมดสงสัยไปได้ว่าจะซื้อกองทุนยังไงให้รวย อย่างไรก็ดี การจะรวยด้วยกองทุนรวมจากการจัดพอร์ตที่มีประสิทธิภาพยังต้องอาศัยการลงมือทำด้วยเช่นกัน

ดังนั้น เมื่อรู้จักทุกรายละเอียดทั้งหมดนี้แล้ว อย่าลืมมาเริ่มต้นการลงทุนในกองทุนรวมศักยภาพสูงจากทั้งไทยและต่างประเทศกับ InnovestX เพราะถึงแม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่การไม่ลงทุนเลยมีความเสี่ยงยิ่งกว่า มาเริ่มลงทุนได้ง่าย ๆ เพียงดาวน์โหลดแอปฯ InnovestX และเปิดบัญชีก็ลงทุนกองทุนรวมเพื่อทุกเป้าหมายได้ทันที

ดาวน์โหลดแอปฯ เสร็จเรียบร้อย หากต้องการเริ่มต้นลงทุนกองทุนรวมได้ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด มาลงทุนกับ Intelligence Port บริการวางแผนและบริหารพอร์ตการลงทุนอัตโนมัติต่อได้ทันที ตอบโจทย์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพด้วยมุมมองจากกูรูตัวจริง พร้อมปรับใช้เทคโนโลยี AI ช่วยวางแผน บริหารพอร์ต และปรับพอร์ตการลงทุนให้สมดุล เพื่อเป้าหมายการลงทุนที่เป็นจริง เริ่มเพียง 5,000 บาท หรือทยอย DCA กับกองทุนรวมต่อได้ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 2,000 บาท/เดือน

หัวข้ออื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ
กลับด้านบน