แนะนำหุ้นพลังงานโรงไฟฟ้า เลือกตัวไหนดีที่น่าสนใจ

 

 

หุ้นพลังงานไฟฟ้าตัวไหนดีและน่าสนใจลงทุน

เพื่อให้สามารถเลือกลงทุนได้ตรงกับสิ่งที่ตนเองสนใจ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เราจึงได้รวบรวมหุ้นตัวเด็ดที่น่าจับตามองมาไว้ให้แล้ว

  

1. กลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิล

เป็นหุ้นกลุ่มที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล อย่างก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหิน เป็นแหล่งพลังงานหลัก โดยมีข้อได้เปรียบด้านกำลังการผลิตไฟฟ้าที่มั่นคงและปริมาณมาก จึงเหมาะกับระบบที่ต้องใช้ไฟฟ้าต่อเนื่องสูง เช่น ภาคอุตสาหกรรม หรือระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีความได้เปรียบในแง่ของต้นทุนที่คงที่ในระยะสัญญาและความพร้อมในการผลิต ตัวอย่างบริษัทเด่นในกลุ่มนี้ ได้แก่

  

• GULF: บริษัทชั้นนำในธุรกิจโรงไฟฟ้าเอกชน มีการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโครงการในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม และเยอรมนี
• EGCO: หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายแรกของประเทศ มีพอร์ตโฟลิโอครอบคลุมหลายประเภทในกลุ่มพลังงาน ทั้งฟอสซิลและพลังงานหมุนเวียน
• RATCH: มีกำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จำนวนมาก และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ระยะยาว ทำให้มีรายได้สม่ำเสมอ

  

2. กลุ่มหุ้นพลังงานหมุนเวียน

พลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานสะอาด เป็นกลุ่มที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากแรงสนับสนุนของรัฐบาลทั่วโลกและกระแสการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, Governance) ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ตัวอย่างบริษัทที่โดดเด่น ได้แก่

  

• BCPG: บริษัทในเครือของบางจาก ลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในหลายประเทศ ทั้งในไทย ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์
• ACE: เน้นการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลและของเสียชุมชน โดยมีการกระจายโรงไฟฟ้าในพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้มีความยืดหยุ่นและสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น
• SPCG: เป็นผู้บุกเบิกโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในไทย โดยเน้นโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ที่มีกำลังผลิตรวมหลายร้อยเมกะวัตต์

  

3. กลุ่มหุ้นที่มีพอร์ตหลากหลาย

บริษัทในกลุ่มนี้บริหารจัดการพอร์ตโรงไฟฟ้าที่มีทั้งพลังงานฟอสซิลและพลังงานสะอาด ทำให้สามารถกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาพลังงาน หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ อีกทั้งยังมีโอกาสเติบโตในระยะยาวด้วยความยืดหยุ่นของโมเดลธุรกิจ เช่น

  

• GPSC: เป็นบริษัทในกลุ่ม ปตท. มีโรงไฟฟ้าหลายประเภท ทั้งที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ พลังงานแสงอาทิตย์ แบตเตอรี่ และระบบ Energy Storage ซึ่งตอบโจทย์ทั้งความมั่นคงและเทรนด์พลังงานอนาคต
• BGRIM: มุ่งเน้นขยายกำลังผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีแผนเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในพอร์ตอย่างต่อเนื่อง พร้อมลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ไฮโดรเจน

  

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อกลุ่มหุ้นพลังงาน

แม้กลุ่มหุ้นพลังงานไฟฟ้าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ดูมั่นคงและมีศักยภาพ แต่ก็ยังต้องอาศัยการประเมินปัจจัยหลายด้านที่อาจส่งผลต่อผลประกอบการและมูลค่าหุ้น จึงควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุน

  

1. ราคาพลังงานโลก

ต้นทุนเชื้อเพลิง เช่น ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน มีผลโดยตรงต่อกำไรของโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หากราคาพลังงานผันผวน อาจกระทบต้นทุนและกำไรสุทธิของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

  

2. นโยบายรัฐด้านพลังงาน

แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) เป็นกรอบนโยบายที่ชี้ทิศทางการลงทุนในภาคพลังงาน ทั้งในด้านสัดส่วนพลังงานสะอาด การรับซื้อไฟฟ้า และการสนับสนุนการผลิตพลังงานรูปแบบใหม่ นักลงทุนจึงควรติดตามการอัปเดตของแผน PDP อย่างใกล้ชิด

  

3. ค่า Ft (Fuel Tariff)

เป็นอัตราค่าไฟฟ้าที่ปรับขึ้น หรือลงตามต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ซึ่งมีผลต่อรายได้ของผู้ผลิตไฟฟ้าโดยตรง หากค่า Ft ปรับขึ้นจะช่วยให้มีรายได้เพิ่ม แต่หากลดลงในช่วงต้นทุนพุ่ง ก็อาจทำให้กำไรของบริษัทลดลงได้

  

4. เทรนด์พลังงานสะอาด ESG

นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน หรือบริษัทที่มีการลดการปล่อยคาร์บอน ได้รับความสนใจมากกว่าและมีโอกาสได้รับเงินทุน หรือความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้น

  

5. ความต้องการไฟฟ้าในประเทศ

การขยายตัวของเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การใช้เทคโนโลยีมากขึ้น รวมถึงการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า ล้วนส่งผลต่อปริมาณการใช้ไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับรายได้ของธุรกิจผลิตไฟฟ้าในระยะยาว

  

  

เทคนิคเลือกหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า

การเลือกหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าไม่ใช่เพียงดูจากชื่อเสียงของบริษัท หรืออัตราผลตอบแทนเท่านั้น แต่ควรอิงกับข้อมูลพื้นฐานที่สะท้อนศักยภาพ ความมั่นคง และแนวโน้มในอนาคตของธุรกิจ โดยมีเทคนิคเบื้องต้นที่นักลงทุนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ดังนี้

  

1. ดูสัญญา PPA (Power Purchase Agreement)

สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าหรือหน่วยงานภาครัฐ เป็นตัวชี้วัดความมั่นคงของรายได้ หากบริษัทมี PPA ระยะยาวที่รับประกันการขายไฟฟ้าในราคาที่แน่นอน จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของรายได้และเพิ่มความน่าเชื่อถือในการลงทุน

  

2. วิเคราะห์ Debt to Equity Ratio

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเป็นตัวชี้วัดความมั่นคงทางการเงินของบริษัท หาก D/E สูงเกินไป อาจสะท้อนความเสี่ยงเรื่องภาระดอกเบี้ย หรือการขาดความสามารถในการขยายธุรกิจในอนาคต ในขณะที่ระดับ D/E ที่เหมาะสมจะช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นและสามารถบริหารต้นทุนได้ดี

  

3. ติดตามนโยบายรัฐ

รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางพลังงานของประเทศ การสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชน ล้วนเป็นปัจจัยที่อาจเปลี่ยนแปลงความได้เปรียบของแต่ละบริษัท นักลงทุนควรติดตามข่าวสารจากกระทรวงพลังงาน กฟผ. และประกาศจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด

  

พร้อมเปิดพอร์ตลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้าและกลุ่มพลังงานแล้วหรือยัง ?

หากมองหาการลงทุนที่มั่นคงและมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว หุ้นโรงไฟฟ้าคือตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเปิดพอร์ตเทรดหุ้นไทยออนไลน์ สามารถเปิดบัญชีลงทุนได้ง่าย ๆ และสมัครสมาชิกได้ฟรี เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน InnovestX ทั้งใน App Store, Google Play Store และ Huawei Gallery เพื่อเข้าถึงโอกาสการลงทุนได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ พร้อมบทวิเคราะห์การลงทุนและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ทำให้ติดตามข้อมูลบริษัทพลังงานชั้นนำ พร้อมประเมินโอกาสและความเสี่ยงได้อย่างรอบด้าน

   

คำเตือน

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

    

ข้อมูลอ้างอิง:

1. เช็กผลงาน 9 หุ้นโรงไฟฟ้า ไตรมาส 1/67 กำไรร่วง 35%. สืบค้นเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 จาก https://thestandard.co/q1-2024-power-plant-stocks-profits-down-35-percent/