กฎหมาย GENIUS Act จะทำให้ Stablecoin เข้าสู่ยุคทองอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับทั้ง Visa และ Mastercard ในการขยายเครือข่ายและสร้างรายได้ใหม่ๆ ซึ่ง Stablecoin คือสะพานเชื่อมสำคัญระหว่างโลกการเงินดั้งเดิมและสินทรัพย์ดิจิทัล
อนาคต Stablecoin หลังกฎหมาย GENIUS Act
ฤดูร้อนปี 2025 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ Stablecoin หลังสหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย GENIUS Act ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกที่กำหนดกรอบกำกับดูแล Stablecoin อย่างเป็นระบบ ความชัดเจนนี้ช่วยสร้าง “Sense of Safety” ทำให้นักลงทุนและสถาบันการเงินมั่นใจมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญบางรายถึงกับเปรียบว่า นี่อาจเป็นการเปิดฉาก “ยุคตื่นทอง” ของ Stablecoin ที่จะถูกนำไปใช้ในวงกว้าง ทั้งเพื่อการโอนเงินข้ามพรมแดน การเข้าถึงดอลลาร์ในประเทศกำลังพัฒนา ไปจนถึงการรองรับกระแส Tokenization ที่กำลังมาแรง ทั้งนี้ จากรายงานของ Goldman Sachs ระบุว่า Stablecoin จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของระบบนิเวศคริปโต เนื่องจากปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ 1) การเติบโตเชิงโครงสร้างของระบบนิเวศคริปโต 2) ความต้องการการเข้าถึงเงินดอลลาร์นอกสหรัฐฯ และ 3) ความชัดเจนด้านกฎระเบียบที่เกิดจาก GENIUS Act ซึ่งลงนามเป็นกฎหมายในเดือนกรกฎาคม 2025
จากตลาดคริปโต สู่โครงสร้างพื้นฐานการเงิน
ปัจจุบัน Stablecoin ถูกใช้มากที่สุดในตลาดคริปโตและการโอนเงินระหว่างประเทศ แต่ศักยภาพในอนาคตนั้นใหญ่กว่านั้นมาก โดยเฉพาะในด้านการชำระเงินระหว่างธุรกิจ (B2B) และ การบริหารเงินคลังที่ยังมีต้นทุนสูงจากระบบดั้งเดิม Stablecoin สามารถลดต้นทุน เพิ่มความรวดเร็ว และแก้ปัญหาการพึ่งพากระดาษหรือเงินสดได้อย่างตรงจุด ในทางกลับกัน การใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคอาจยังไม่เปลี่ยนแปลงเร็ว เพราะผู้คนยังคุ้นกับบัตรเครดิตและเดบิต แต่ในเชิงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน Stablecoin กำลังค่อยๆ เข้ามามีบทบาทสำคัญ
Visa และ Mastercard: คู่แข่งหรือผู้ชนะ?
หลายคนเคยมองว่า Stablecoin คือภัยคุกคามต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการชำระเงินอย่าง Visa (V) และ Mastercard (MA) แต่ในความเป็นจริง ภาพกลับตรงกันข้าม ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าความเสี่ยงนั้น “ถูกพูดเกินจริง” เพราะต้นทุนหลักของธุรกรรมอยู่ที่ การแปลงเงิน (on/off-ramp), การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และการป้องกันการฉ้อโกง ไม่ใช่เพียงแค่บล็อกเชน ดังนั้น Visa และ Mastercard ยังคงมีบทบาทสำคัญ และที่สำคัญคือพวกเขามีโอกาสใหม่ในการต่อยอดเครือข่าย เพิ่มบริการ Stablecoin ให้ลูกค้าบนแพลตฟอร์มเดิม และกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกการเงินเก่าและใหม่
Stablecoin: สะพานเชื่อมการเงินดั้งเดิมและสินทรัพย์ดิจิทัล
จากข้อมูลของ HSBC Global Investment Research ระบุว่า Stablecoin เป็นเครื่องมือการทำธุรกรรมที่โดดเด่นในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งในด้านการชำระเงิน การซื้อขายบนกระดานแลกเปลี่ยน หรือการโอนเงินระหว่างประเทศ นอกจากนี้ HSBC ยังมองว่า Stablecoin สามารถเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกการเงินแบบดั้งเดิมกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้อีกด้วย โดยมีการคาดการณ์ว่าปริมาณการทำธุรกรรมด้วย Stablecoin สูงถึง 28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2024
Tokenization: เชื้อเพลิงขับเคลื่อน Stablecoin
กระแสการแปลงสินทรัพย์จริงสู่โทเคน (Tokenization) กำลังมาแรง ตั้งแต่หุ้น อสังหาฯ ไปจนถึงพันธบัตร หรือ กองทุน เมื่อสินทรัพย์ต่างๆ ขึ้นมาอยู่บนบล็อกเชน การซื้อขายและโอนย้ายย่อมต้องการ “เงินดิจิทัลที่เสถียร” Stablecoin จึงถูกวางตัวเป็น สื่อกลางในการชำระเงิน ที่จะทำให้การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้สะดวกและมีต้นทุนต่ำกว่าที่เคย
ความเสี่ยงที่ถกเถียง: เสถียรภาพหรือความวุ่นวาย?
อย่างไรก็ดี การเติบโตของ Stablecoin ก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป นักเศรษฐศาสตร์บางรายกังวลว่า หากเกิด Stablecoin หลายสกุลโดยไม่มีมาตรฐานร่วม อาจนำไปสู่ความไม่เสถียร คล้ายกับ “ยุคธนาคารป่า” (Free Banking Era) ที่ธนาคารออกธนบัตรของตัวเองจนระบบการเงินปั่นป่วน แต่กฎหมาย GENIUS Act กลับทำให้สถานการณ์ต่างออกไป เพราะบังคับให้ Stablecoin ต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกันชุดเดียวกันคล้ายกับกฎหมาย National Bank Act ปี 1863 ที่เคยช่วยยุติความวุ่นวายในอดีตและสร้างความมั่นคงให้ธนาคารสหรัฐฯ นอกจากนี้ กฎหมายดังกล่าวยังห้ามผู้ออก Stablecoin ไม่ให้จ่ายดอกเบี้ยใน Stablecoin โดยตรง ซึ่งแตกต่างจากเงินฝากธนาคารที่มีการประกันโดย FDIC นอกจากนี้ Stablecoin ยังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ 1) Real-world-asset-collateralized ที่มีสินทรัพย์ในโลกจริงอย่างเช่นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือทองคำค้ำประกัน 2) Crypto-collateralized ที่ใช้คริปโทเคอร์เรนซีเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันในสัดส่วนที่สูงกว่ามูลค่า Stablecoin เพื่อชดเชยความผันผวน และ 3) Algorithmic ที่ใช้อัลกอริทึมในการควบคุมอุปทานแทนการใช้สินทรัพย์ค้ำประกันแบบดั้งเดิม กฎหมาย GENIUS Act ได้เสนอให้มีการพักการออก Stablecoin แบบ Algorithmic เป็นเวลา 2 ปี
บทบาทใหม่ของธนาคาร
แม้บางธนาคารมองว่า Stablecoin อาจดึงเงินฝากต้นทุนต่ำออกจากระบบ แต่ธนาคารอีกหลายแห่งกลับมองต่างออกไป โดยเลือกใช้ Stablecoin เป็นเครื่องมือดึงดูดเงินฝาก หรือ ผนวกเข้ากับโปรแกรมสะสมคะแนนดิจิทัล นอกจากนี้ ธนาคารยังเริ่มนำ Stablecoin และเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและลดต้นทุนในหลายๆ ด้าน เช่น การชำระบัญชีการค้า, การจัดการบัญชีเงินทุน, การชำระเงินระหว่างธนาคาร และการบริหารเงินคลัง สุดท้ายโทเคนเหล่านี้ก็จะเชื่อมกลับไปยัง Stablecoin ที่ได้รับความนิยม เช่น USDC หรือ Tether ทำให้ธนาคารไม่ได้ถูกแทนที่ แต่ปรับตัวกลายเป็นผู้เล่นใหม่ในระบบนิเวศ Stablecoin
หุ้นที่น่าจับตา: ใครได้ประโยชน์จาก Stablecoin?
การเติบโตของ Stablecoin จึงไม่เพียงเป็นเรื่องเทคโนโลยี แต่ยังเป็น โอกาสการลงทุน ในบริษัทที่พร้อมคว้าโอกาสนี้ เช่น
ทั้งหมดนี้คือบริษัทที่นักลงทุนควรจับตาในยุค Stablecoin เพราะพวกเขาไม่ได้เพียงแค่ “อยู่รอด” แต่ยังอาจกลายเป็น ผู้ชนะตัวจริงของคลื่นการเงินลูกใหม่
มุมมองการลงทุน: Stablecoin กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ โดยกฎหมาย GENIUS Act ได้ปลดล็อกเส้นทางการยอมรับในวงกว้าง นักลงทุนที่มองหาหุ้นสหรัฐฯ ที่มีโอกาสเติบโตจากคลื่นการเปลี่ยนแปลงนี้ ควรจับตาบริษัทที่เป็นสะพานเชื่อมโลกการเงินเก่า-ใหม่ เพราะนี่อาจเป็นโอกาสลงทุนที่คุ้มค่าในระยะกลางถึงยาว
หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งที่รับประกันผลงานในอนาคต เงินลงทุนอาจสูญหาย และควรศึกษาความเสี่ยงก่อนลงทุน
เปิดบัญชีและลงทุนผ่าน InnovestX ได้ที่: https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b