HSBC (0005.HK) เป็นสถาบันการเงินระดับโลกที่ผสมผสานธุรกิจดั้งเดิมกับการปรับตัวสู่อนาคตครองความเป็นผู้นำด้าน Trade Finance มูลค่า US$850 bn และถูกยกให้เป็น “ธนาคาร Trade Finance ที่ดีที่สุด” ต่อเนื่อง 8 ปีความเชี่ยวชาญทำให้ HSBC เป็นพาร์ตเนอร์หลักของบริษัทยักษ์ใหญ่ ในการจัดหาเงินทุนหมุนเวียน, รับประกัน LC และจัดการความเสี่ยงด้านเครดิตและค่าเงินอีกเสาหลักคือ ธุรกิจ Wealth Management โดยเฉพาะในเอเชีย ที่ชนชั้นมั่งคั่งใหม่กำลังเติบโต หนุนรายได้ค่าธรรมเนียมระยะยาว HSBC ยังเร่งลงทุนเทคโนโลยี ทั้งแพลตฟอร์มดิจิทัล, AI วิเคราะห์ลูกค้า และระบบโอนเงินข้ามประเทศแบบทันที รวมถึงแอป PayMeที่โดดเด่นเรื่องโอนเงินและหารบิลแบบ real-time ช่วยขยายฐานลูกค้าและเสริมศักยภาพการแข่งขันในยุคดิจิทัล
ในสมรภูมิเทคโนโลยีโลก จีนประกาศเดินหน้าเต็มกำลังด้วยการออกคำสั่งให้ ดาต้าเซ็นเตอร์ของรัฐต้องใช้ชิปที่ผลิตในประเทศอย่างน้อย 50% ภายในปี 2026 และเพิ่มเป็น 70% ในปี 2027 สะท้อนชัดเจนว่าจีนไม่ยอมพึ่งพา “ชิปต่างชาติ” อีกต่อไป หลังจากถูกสหรัฐฯ กีดกันอย่างหนักตลอดช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา
การแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่รุนแรงส่งผลให้สหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึงชิประดับสูงของ Nvidia และ AMD ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI โดยอนุญาตให้จีนซื้อได้เพียง “เวอร์ชันลดสเปก” ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่า และยังมีเงื่อนไขด้านรายได้ที่ต้องแบ่งกลับไปให้รัฐบาลสหรัฐฯ จีนจึงถูกบีบให้หาทางเลือกใหม่ และคำตอบของพวกเขาคือการ “สร้างเอง” โดยในปัจจุบันนี้มีรายงานว่า ชิปของ Huawei รุ่น Ascend 910C ถือได้ว่าเป็นชิป AI ที่ผลิตและออกแบบโดยบริษัทจีน ได้มีความเร็วที่สูงกว่าชิป H20 ของ Nvidia ที่สหรัฐฯอนุมัติให้ขายในจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ยังห่างไกลกับชิป H100 อยู่ แต่การพัฒนาชิป AI ของจีนในครั้งนี้ทำให้เป้าหมายของรัฐบาลจีนในการผลิตชิป AI ภายในประเทศจีนใช้เองจึงอยู่ไม่ไกลนัก
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโลก
ในระยะสั้น จีนอาจยังเผชิญความท้าทาย เพราะชิปในประเทศยังตามหลัง Nvidia อยู่หลายปี โดยเฉพาะชิปสำหรับการเทรน AI รุ่นใหม่ที่ต้องใช้พลังประมวลผลสูง และจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ในกระบวนการผลิต แต่ในอีกด้านหนึ่ง การบังคับใช้ชิปที่ผลิตเองภายในประเทศจะช่วยเสริมสร้างรายได้และทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการวิจัยและพัฒนาให้กับบริษัทผู้ผลิตและดีไซน์ชิปให้สามารถพัฒนาชิปรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นได้ ความต้องการชิปที่มหาศาลจากบริษัทเทคโนโลยีจีนเหล่านี้จะหลั่งไหลตรงไปยังผู้ผลิตชิปขนาดใหญ่ของจีน โดยเฉพาะ SMIC (DR : SMIC23) และ Hua Hong Semiconductor (DR : HUAHONG23) ซึ่งมีแนวโน้มได้รับออเดอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่จึงไม่ใช่แค่การตอบโต้สหรัฐฯ แต่คือการสร้างยักษ์ใหญ่ด้านเซมิคอนดักเตอร์จีนให้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด และหากแผนนี้สำเร็จ บริษัทเซมิคอนดักเตอร์จะเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่ครอบครองเทคโนโลยีที่สำคัญของโลก และนำพาบริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ให้พัฒนาขึ้นทัดเทียมกับสหรัฐฯได้
การเร่งเครื่องของจีน
แทนที่จะถอยแต่จีนเลือกเดินหน้าภายใต้แผน Made in China 2025 พร้อมอัดฉีดเม็ดเงินก้อนมหาศาลผ่านกองทุน Investment Fund Phase III (Big Fund III) มูลค่า 344,000 ล้านหยวน (~47.5 พันล้านดอลลาร์) เพื่อผลักดันให้ประเทศพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี
การลงทุนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการทดแทนการนำเข้า แต่คือการ “ปลดแอก” อุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดของโลก หากจีนทำสำเร็จ จะไม่เพียงลดการพึ่งพาสหรัฐฯ แต่ยังสร้างห่วงโซ่อุปทานครบวงจรในประเทศ เสริมศักยภาพการแข่งขันในระดับโลก และเปิดทางสู่การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงด้วยตนเอง
2 บริษัทเสาหลัก: SMIC และ Hua Hong Semiconductor
SMIC (DR: SMIC23) คือผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีน กลยุทธ์หลักคือการขยายกำลังการผลิตและยกระดับเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง แม้จะถูกห้ามเข้าถึงเครื่อง Extreme Ultraviolet Lithograpgy (EUV) จากตะวันตก แต่ SMIC พลิกวิกฤติเป็นโอกาสด้วยการใช้ DUV (Deep Ultraviolet) พัฒนาเทคโนโลยี 7nm ได้สำเร็จ และนำไปใช้ผลิตสมาร์ตโฟนเรือธงของจีน ซึ่งเป็นหลักฐานชัดถึงศักยภาพด้านวิศวกรรมและการวิจัย โดย Huawei ได้ออเดอร์ SMIC ผลิตชิป Ascend ที่ใช้ในงาน AI ด้วย นอกจากนี้ นโยบายบังคับใช้ชิปจีน 50% ในปี 2026 และ70% ในปี 2027 จะทำให้คำสั่งซื้อไหลเข้าสู่ SMIC อย่างต่อเนื่อง
Hua Hong Semiconductor (DR : HUAHONG23) คือ ผู้เชี่ยวชาญในตลาดชิปเฉพาะทาง อย่าง Specialty IC และ Power Semiconductor ที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจใหม่ของจีน ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ไฟฟ้า (EV), IoT หรือพลังงานสะอาด ด้วยความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมานาน Hua Hong พร้อมตอบโจทย์ความต้องการที่พุ่งสูง และยังได้แรงหนุนจากนโยบายรัฐ ที่ช่วยผลักดันการขยายโรงงานและการวิจัยอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทนี้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ช่วยเติมเต็มห่วงโซ่การผลิตชิปของจีนให้ครบวงจร
สำหรับนักลงทุน ศึกครั้งนี้คือ จุดเปลี่ยนของตลาดชิปโลก หากจีนผลิตทดแทน Nvidia ได้สำเร็จ บริษัทเทคจีนจะก้าวสู่เวทีโลก และดึงเม็ดเงินลงทุนกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นฮ่องกงจีนอีกครั้ง ขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ อย่าง Nvidia และ Intel อาจเผชิญแรงกดดันจากการสูญเสียฐานลูกค้ารายใหญ่
สำหรับนักลงทุนไทย การเข้าถึงบริษัทเหล่านี้ทำได้ง่ายผ่าน Depositary Receipt (DR23) ของ InnovestX ได้แก่
DR23 เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยถือหุ้นยักษ์ใหญ่จีนได้ด้วยเงินบาท บนแอป Streaming โดยไม่ต้องเปิดบัญชีต่างประเทศ
สนใจลงทุนใน DR : SMIC23 และ HUAHONG23 และและหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย!
📱 ดาวโหลดและเปิดบัญชีกับ InnovestX คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
📱 อ่านรายละเอียดข้อมูล DR และค่าธรรมเนียม คลิก https://www.innovestx.co.th/products/depositary-receipt/dr
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน