Keyword
ลงทุนก้าวแรก

กลยุทธ์ Core-Satellite พอร์ตเติบโตระยะยาว สร้างกำไรระยะสั้น

9 Oct 24 6:17 PM
จัดพอร์ตแบบ Core-Satellite แบ่งสัดส่วนการลงทุนระยะสั้น ระยะยาว
สรุปสาระสำคัญ

การลงทุนมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงก็อาจนำผลกำไรมาให้ได้เช่นกัน ทำให้นักลงทุนหลายคนพร้อมที่จะเสี่ยงเพื่อรับผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ในหลาย ๆ ครั้งที่ตลาดเกิดความผันผวนอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ทัน จนขาดทุนอย่างมหาศาล

  
กลยุทธ์ Core-Satellite จึงเป็นเทคนิคการลงทุนที่นักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffet, John Templeton, John Bogle และ Jeremy Grantham สนับสนุนและกล่าวถึงอยู่เสมอมา เพราะช่วยรองรับความเสี่ยง และป้องกันการสูญเสียเงินก้อนใหญ่ได้  

business-team-using-laptop-computer-financial.jpg

  

การจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite คืออะไร ?

Core-Satellite Portfolio เป็นการจัดพอร์ตที่แบ่งสัดส่วนการลงทุนให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Core กับ Satellite ทำให้พอร์ตมีทั้งการลงทุนในระยะสั้นและระยะยาว สามารถสร้างผลตอบแทนได้ ไม่ว่าสภาวะของตลาดจะผันผวนหรือว่าเงียบสงบ รวมถึงช่วยให้พอร์ตเติบโตในระยะยาว และเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงิน 

  

Core หรือส่วนหลัก

เป็นการลงทุนที่เพิ่มความมั่นคงและรายได้ในระยะยาว ไม่จำเป็นต้องจับจังหวะของตลาด แนะนำให้ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง โดยสัดส่วนการลงทุนที่แนะนำอยู่ที่ 70-80% ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยง 

  

Satellite หรือส่วนเสริม

เน้นการลงทุนในหุ้นเฉพาะกลุ่ม หรือหุ้นเติบโตที่มีแนวโน้มจะให้ผลตอบแทนที่สูง เน้นการจับจังหวะตลาดหรือฉวยโอกาสจากการผันผวนของสินทรัพย์เพื่อเก็งกำไร แต่อาจมีความเสี่ยงที่มากกว่า เป็นการลงทุนในระยะสั้นไปถึงกลาง (6 เดือนถึง 1 ปี) สัดส่วนการลงทุนแนะนำโดยประมาณอยู่ที่ 20-30% ทั้งนี้ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และซื้อขายตามโอกาส  

 

ข้อดีของการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite

อย่างที่กล่าวเอาไว้ในช่วงต้นว่า นักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffet, John Templeton, John Bogle และ Jeremy Grantham ต่างก็สนับสนุนกลยุทธ์ Core-Satellite กันทั้งนั้น แต่ถึงแม้แต่ละคนจะมีสไตล์และไอเดียการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ การใช้กลยุทธ์ Core Portfolio เข้ามาช่วยเสริมการลงทุนให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว โดยจะสังเกตได้ว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักเลือกใช้กลยุทธ์นี้มากกว่าการจัดพอร์ตแบบ 60/40 ที่ให้ลงทุนในหุ้น 60% และลงทุนในตราสารหนี้ 40%

  
เนื่องจากการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite Portfolio มีความคล่องตัวมากกว่า และสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า ที่สำคัญคือ ช่วยให้พอร์ตสามารถเติบโตได้ แม้แต่ในภาวะผันผวน โดยการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite มีข้อดีที่โดดเด่น ดังนี้ 

 

พอร์ตมีสินทรัพย์ที่หลากหลาย กระจายความเสี่ยง

 แน่นอนว่าสินทรัพย์แต่ละอย่างไม่ได้มีผู้ชนะเพียงผู้เดียวตลอดไป กล่าวคือ ไม่มีการลงทุนในสินทรัพย์ใดที่จะทำกำไรได้ตลอดเวลา การลงทุนสินทรัพย์ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่แตกต่าง จะช่วยกระจายความเสี่ยงของการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในช่วงเวลาที่ Core Portfolio อยู่ในช่วงขาลง หรือสร้างผลตอบแทนได้น้อยกว่าที่คาดคิด ในส่วนของ Satellite Portfolio ก็ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงมากขึ้น เพราะอยู่ในช่วงขาขึ้นของธุรกิจในกลุ่มนี้ จึงช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเงินจำนวนมหาศาล หากว่าพึ่งพาสินทรัพย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียว 

  

มีการเติบโตในระยะยาว

กลยุทธ์ Core-Satellite เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการให้พอร์ตเติบโตในระยะยาว เพราะแม้ว่าในส่วนของ Core Porfolio จะเน้นการลงทุนในระยะยาว แต่หากว่าเลือกสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง ก็จะทำให้สามารถได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอได้ โดยจะได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอจากหุ้นคุณค่า และได้รับผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในหุ้นเติบโต

  

ได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น

ตลาดการลงทุนมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา การลงทุนอย่างมีวินัยและกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงตลาดขาขึ้น และลดความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดอยู่ในช่วงขาลง 


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่นักลงทุนจะต้องมีความรู้ในการลงทุน และติดตามสถานการณ์ของตลาดทางการเงิน เพื่อปรับสัดส่วนการลงทุนและปรับพอร์ตให้เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการซื้อขายในระยะสั้นก็อาจทำให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับลดน้อยลงไป

  

finance-trade-manager-analysing-stock-market.jpg

  

จัดพอร์ตแบบ Core-Satellite ต้องลงทุนในสินทรัพย์อะไรบ้าง ?

การใช้กลยุทธ์ Core-Satellite เป็นหนึ่งในการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ในกลุ่มที่แตกต่างกัน ดังนี้
  

Core Portfolio

เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ อย่างกองทุนรวมดัชนี กองทุนรวมพื้นฐาน พันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวมตลาดหุ้น หุ้นคุณค่า โดยมีสินทรัพย์ที่แนะนำดังนี้ 
  
⦁ หุ้นโลก 

กองทุน K-GSELECT: กองทุนหลัก JPMorgan Global Select Equity ETF มีนโยบายการลงทุนแบบ Core Equity เพื่อสร้างผลตอบแทนผ่านการคัดเลือกลงทุนในหุ้นโลกขนาดใหญ่คุณภาพสูงที่โดดเด่นในแต่ละช่วงเวลาจำนวน 70-100 ตัว เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีการกระจายตัวอย่างเหมาะสม ทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์สูงในการคัดสรรหุ้นที่มีความน่าสนใจ ด้วยกระบวนการลงทุนที่สม่ำเสมอเพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับแต่ละสภาวะตลาด เพื่อคัดเลือกหุ้นสำหรับ Core Portfolio ที่ดีที่สุด พิสูจน์ผ่านผลการดำเนินงานระยะยาว
 

กองทุน KKP PGE-H: กองทุนหลัก iShares MSCI ACWI ETF (USD) ที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Passive โดยอ้างอิงดัชนีหุ้นโลก (MSCI ACWI Index) ที่มีการกระจายการลงทุนไปใน 23 ประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed Markets) และ 24 ประเทศที่กำลังพัฒนา (Emerging Markets) สัดส่วนหลักของพอร์ตการลงทุนจะกระจายอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มบริการทางด้านสุขภาพ เหมาะสำหรับใช้เป็น Core Portfolio สำหรับการลงทุนหุ้นโลกในระยะยาว เนื่องจากเป็นการกระจายการลงทุนไปในหลากหลายประเทศทั่วโลก ช่วยกระจายความเสี่ยงด้านการกระจุกตัว อีกทั้งยังมีกระจายการลงทุนในหุ้นกว่า 2,600 ตัว

 
⦁ กองทุนตราสาร
 
กองทุน UGIS-N: กองทุนหลัก PIMCO GIS Income ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงทั่วโลกแบบ โดยสามารถกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้หลากหลายประเภท ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนมีอันดับความน่าเชื่อถือเฉลี่ยระดับ AA- และมีอายุตราสารเฉลี่ยในพอร์ตการลงทุนประมาณ 4.61 ปี (as of  31 Jan 2025) ทีมผู้จัดการกองทุนหลักมีประสบการณ์สูงกว่า 30 ปี มีจุดเด่นด้านกลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่น โดยจะผสมผสานการวิเคราะห์เชิง Top-down และ Bottom-up เพื่อเฟ้นหาตราสารหนี้ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดให้กับพอร์ตการลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะทำการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด
 
กองทุน KKP ACT FIXED: กองทุนเน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยที่มีคุณภาพสูง โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือเฉลี่ยที่ A และกองทุนมีเป้าหมายอายุตราสารของพอร์ตโดยเฉลี่ยที่ 1-3 ปี
ทีมผู้จัดการกองทุนมีการบริหารพอร์ตการลงทุนแบบยืนหยุ่น โดยพิจารณาจากทั้ง Top-down และ Bottom-up มีกระบวนการลงทุนที่มีหลักการชัดเจน ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว และการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
 

Satellite Portfolio

 เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูง เป็นการลงทุนในระยะสั้น แนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวม Thematic, หุ้นเติบโตสูง, สินค้าโภคภัณฑ์, คริปโต, ทองคำ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงสูง แต่ก็เป็นโอกาสในการทำกำไรระยะสั้น 
 
เริ่มลงทุนวันนี้ กับ InnovestX ซูเปอร์แอป แอปเดียวครบ ทุกจักรวาลลงทุน มีโปรแกรมจัดพอร์ตการลงทุนให้เข้ากับสไตล์การลงทุน เหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้ลงทุนกองทุนรวมโดยใช้กลยุทธ์ Core-Satellite นอกจากนี้ยังสามารถหาไอเดียการลงทุนได้จาก Wealth Idea เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ใช่ในสไตล์ที่ชอบได้ทุกวัน 
  
เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง แต่การไม่ลงทุนเลยอาจเสี่ยงยิ่งกว่า ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน InnovestX ได้ฟรีทั้งระบบ iOS และ Android แล้วเริ่มลงทุนวันนี้เลย 
  
คำเตือน
* การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
  
ข้อมูลอ้างอิง 
⦁ Core & Satellite กลยุทธ์ลงทุนในภาวะตลาดผันผวน. สืบค้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 จาก https://www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/47-core-satellite-investment-strategies-for-volatile-markets 
⦁ จัดพอร์ตลงทุนให้โตไว ด้วยกลยุทธ์ Core & Satellite. สืบค้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 จาก https://www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/342-tsi-manage-portfolio-with-core-and-satellite-strategy 
Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5