การลงทุนมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงก็อาจนำผลกำไรมาให้ได้เช่นกัน ทำให้นักลงทุนหลายคนพร้อมที่จะเสี่ยงเพื่อรับผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ในหลาย ๆ ครั้งที่ตลาดเกิดความผันผวนอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ทัน จนขาดทุนอย่างมหาศาล
กลยุทธ์ Core-Satellite จึงเป็นเทคนิคการลงทุนที่นักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffet, John Templeton, John Bogle และ Jeremy Grantham สนับสนุนและกล่าวถึงอยู่เสมอมา เพราะช่วยรองรับความเสี่ยง และป้องกันการสูญเสียเงินก้อนใหญ่ได้
Core-Satellite Portfolio เป็นการจัดพอร์ตที่แบ่งสัดส่วนการลงทุนให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Core กับ Satellite ทำให้พอร์ตมีทั้งการลงทุนในระยะสั้นและระยะยาว สามารถสร้างผลตอบแทนได้ ไม่ว่าสภาวะของตลาดจะผันผวนหรือว่าเงียบสงบ รวมถึงช่วยให้พอร์ตเติบโตในระยะยาว และเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงิน
เป็นการลงทุนที่เพิ่มความมั่นคงและรายได้ในระยะยาว ไม่จำเป็นต้องจับจังหวะของตลาด แนะนำให้ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง โดยสัดส่วนการลงทุนที่แนะนำอยู่ที่ 70-80% ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยง
เน้นการลงทุนในหุ้นเฉพาะกลุ่ม หรือหุ้นเติบโตที่มีแนวโน้มจะให้ผลตอบแทนที่สูง เน้นการจับจังหวะตลาดหรือฉวยโอกาสจากการผันผวนของสินทรัพย์เพื่อเก็งกำไร แต่อาจมีความเสี่ยงที่มากกว่า เป็นการลงทุนในระยะสั้นไปถึงกลาง (6 เดือนถึง 1 ปี) สัดส่วนการลงทุนแนะนำโดยประมาณอยู่ที่ 20-30% ทั้งนี้ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และซื้อขายตามโอกาส
อย่างที่กล่าวเอาไว้ในช่วงต้นว่า นักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffet, John Templeton, John Bogle และ Jeremy Grantham ต่างก็สนับสนุนกลยุทธ์ Core-Satellite กันทั้งนั้น แต่ถึงแม้แต่ละคนจะมีสไตล์และไอเดียการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ การใช้กลยุทธ์ Core Portfolio เข้ามาช่วยเสริมการลงทุนให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว โดยจะสังเกตได้ว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักเลือกใช้กลยุทธ์นี้มากกว่าการจัดพอร์ตแบบ 60/40 ที่ให้ลงทุนในหุ้น 60% และลงทุนในตราสารหนี้ 40%
เนื่องจากการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite Portfolio มีความคล่องตัวมากกว่า และสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า ที่สำคัญคือ ช่วยให้พอร์ตสามารถเติบโตได้ แม้แต่ในภาวะผันผวน โดยการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite มีข้อดีที่โดดเด่น ดังนี้
แน่นอนว่าสินทรัพย์แต่ละอย่างไม่ได้มีผู้ชนะเพียงผู้เดียวตลอดไป กล่าวคือ ไม่มีการลงทุนในสินทรัพย์ใดที่จะทำกำไรได้ตลอดเวลา การลงทุนสินทรัพย์ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่แตกต่าง จะช่วยกระจายความเสี่ยงของการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในช่วงเวลาที่ Core Portfolio อยู่ในช่วงขาลง หรือสร้างผลตอบแทนได้น้อยกว่าที่คาดคิด ในส่วนของ Satellite Portfolio ก็ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงมากขึ้น เพราะอยู่ในช่วงขาขึ้นของธุรกิจในกลุ่มนี้ จึงช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเงินจำนวนมหาศาล หากว่าพึ่งพาสินทรัพย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียว
กลยุทธ์ Core-Satellite เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการให้พอร์ตเติบโตในระยะยาว เพราะแม้ว่าในส่วนของ Core Porfolio จะเน้นการลงทุนในระยะยาว แต่หากว่าเลือกสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง ก็จะทำให้สามารถได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอได้ โดยจะได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอจากหุ้นคุณค่า และได้รับผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในหุ้นเติบโต
ตลาดการลงทุนมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา การลงทุนอย่างมีวินัยและกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงตลาดขาขึ้น และลดความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดอยู่ในช่วงขาลง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่นักลงทุนจะต้องมีความรู้ในการลงทุน และติดตามสถานการณ์ของตลาดทางการเงิน เพื่อปรับสัดส่วนการลงทุนและปรับพอร์ตให้เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการซื้อขายในระยะสั้นก็อาจทำให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับลดน้อยลงไป