ใครมองหาการลงทุนที่กระจายความเสี่ยง ค่าธรรมเนียมต่ำ ซื้อขายได้เหมือนหุ้น ต้องลงทุน ETF เลย มีให้เลือกมากมายตามวัตถุประสงค์การลงทุน เลือกดี ๆ มีเงินปันผลให้
กองทุน ETF เป็นหนึ่งในกองทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน เนื่องจากเป็นการรวมข้อดีของหุ้นและกองทุนเข้าไว้ด้วยกัน มาดูกันดีกว่าว่า กองทุนนี้เป็นอย่างไร เหมาะกับสไตล์การลงทุนของเราหรือไม่ รวมถึงมีความคุ้มค่าและน่าสนใจแค่ไหน ที่สำคัญคือ ถ้าไม่ซื้อไว้จะเสียดายทีหลังจริงหรือเปล่า อยากรู้มาอ่านกันเลย
กองทุน ETF หรือชื่อเต็มคือ Exchange Traded Fund คือกองทุนเปิดที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ มีสภาพคล่องสูง และมีค่าใช้จ่ายในการซื้อขายต่ำ ลักษณะการซื้อขายเหมือนกับเป็นหุ้นตัวหนึ่ง
นักลงทุนส่วนใหญ่จะเลือกใช้กองทุน ETF เป็นเครื่องมือในการลงทุนให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของตัวเอง เพราะเป็นการลงทุนที่มีนโยบายหลากหลายประเภทให้เลือกลงทุน โดยนโยบายของ ETF จะเน้นสร้างผลตอบแทนตามสินทรัพย์อ้างอิง อย่างหุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ มีทั้งแบบที่เป็นดัชนี สินทรัพย์กลุ่ม และสินทรัพย์เดี่ยว
ราคาซื้อขายกองทุน ETF จะมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน ซื้อขายแบบ Real-time ตามเวลาของตลาดหลักทรัพย์
อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า การลงทุน ETF นั้นสามารถมีได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ของการลงทุนที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรายได้ การเก็งกำไร การรับประโยชน์จากการปรับตัวขึ้นของราคา และการป้องกันความเสี่ยงการลงทุนในพอร์ตฟอลิโอ เรียกว่าเป็นการลงทุนที่ตอบรับนักลงทุนได้ทุกสไตล์และทุกความต้องการ
เราสามารถแบ่งประเภทของกองทุน ETF ได้ 8 ประเภทหลัก ๆ คือ
1. หุ้น (Equity ETFs) เป็นกองทุนที่ลงทุนในดัชนีหุ้น ได้รับความนิยมจากนักลงทุนมากที่สุด ซึ่งจะให้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้น มีความคล่องตัวสูง และหลากหลาย นอกจากนี้ยังสามารถลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนมีความรู้ และเข้าใจความผันผวนของดัชนีอ้างอิงนั้น ๆ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ แบตเตอรี่ โซลาร์เซลล์ การเงิน
2. ตราสารหนี้ (Bonds/Fixed Income ETFs) เป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ มีความผันผวนน้อย แต่สร้างรายได้สม่ำเสมอ โดยที่นักลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องการครบกำหนดของอายุตราสาร ตัวอย่างตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น หุ้นกู้ภาคเอกชน
3. สินทรัพย์โภคภัณฑ์ (Commodity ETFs) เป็นกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์โภคภัณฑ์ มักใช้ในวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้กับพอร์ตฟอลิโอ และเก็งกำไรจากตลาดที่เปลี่ยนแปลง มีทั้งสินทรัพย์เดี่ยวและตะกร้าสินทรัพย์ ตัวอย่างของสินทรัพย์โภคภัณฑ์ เช่น ทอง เงิน น้ำมัน
4. สกุลเงิน (Currency ETFs) เป็นกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนในสกุลเงินต่าง ๆ มักใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน มีทั้งลงทุนในสกุลเงินเดี่ยว และตะกร้าสกุลเงิน ซึ่งนอกจากสกุลเงินของประเทศต่าง ๆ แล้ว ยังมีการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลอีกด้วย
5. สัญญาอนุพันธ์ที่สวนทางกับดัชนี (Inverse ETFs) เป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในตลาดที่ทำกำไรจากการกลับตัวของราคา ซึ่งเป็นการสร้างกำไรในขณะที่ราคาอยู่ในช่วงขาลง หรือทำสถานะสวนทางกับการเคลื่อนไหวของหลักทรัพย์อ้างอิงนั่นเอง จึงเป็นการลงทุนที่เหมาะกับช่วงตลาดขาลง
6. ทวีคูณสัญญาอนุพันธ์ (Leveraged ETFs) นักลงทุนที่ต้องการผลกำไรจำนวนมาก มักจะลงทุนในกองทุน ETF ที่มีการยกระดับผลตอบแทนเหนือหลักทรัพย์อ้างอิง แม้ว่าจะมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนประเภทอื่น ๆ ก็ตาม ตัวอย่างเช่น กองทุน Leveraged ETFs 2x
7. การกำหนดกระบวนการลงทุน (Factor ETFs) เป็นกองทุนที่กำหนดวิธีการหรือกระบวนการลงทุนผ่านการตั้งค่าปัจจัย (Rules-based ETF) อย่างกองทุน Smart Beta
8. การกระจายการลงทุน (Asset Allocation ETFs) เป็นการลงทุนที่หลายสินทรัพย์อ้างอิง สามารถปรับสัดส่วนพอร์ตตามแผนที่วางเอาไว้ ให้สอดรับกับสถานการณ์ เป็นการลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไร โดยมีทั้งความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง และสูง รวมไปถึงกองทุนประเภท Tactical Allocation
นอกจากประเภทของกองทุน ETF แล้ว นักลงทุนยังนิยมลงทุนตามธีม ซึ่งมีธีมการลงทุนที่นิยมดังต่อไปนี้
1. ลงทุนในต่างประเทศ โดยจะเป็นการเลือกลงทุนในกองทุนที่อ้างอิงผลตอบแทนตามดัชนีหุ้นต่างประเทศ อย่าง S&P500, Russell 2000, Nasdaq 100, Dow Jones, MSCI EM, S&P 500 Financials Sector
2. ลงทุนในหุ้นไทย มีจุดเด่นคือมีสภาพคล่องสูง สามารถคำนวณราคาได้ มีให้เลือกทั้งดัชนี SET50 และ SET100
3. ลงทุนตามกลุ่มอุตสาหกรรม เน้นลงทุนตามกลุ่มที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่น และมีความรู้ เช่น EBANK, ENGY & ENY
4. ลงทุนตามเมกะเทรนด์ นอกจากการลงทุนตามเทรนด์หลักของโลกที่กำลังมาแรง ไม่ว่าจะเป็น Game & Esport, Clean Energy, AI & Robotics
นอกจากธีมที่ได้ยกตัวอย่างมาข้างต้น ก็ยังมีธีมอื่น ๆ อย่างการลงทุนในตราสารหนี้ ทองคำ และอื่น ๆ ตามวัตถุประสงค์ในการลงทุนด้วย
การลงทุน ETF จะได้รับผลตอบแทนใน 2 ลักษณะ คือ
1. กำไรจากส่วนต่างของราคาที่เราซื้อมาในราคาที่ต่ำ แล้วขายในราคาที่สูงกว่า
2. เงินปันผล หากว่าเราลงทุนในกองทุนกลุ่มหุ้น ก็จะมีโอกาสได้รับเงินปันผลจากองค์กรที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีอ้างอิง
ไม่ว่าใครก็สามารถลงทุน ETF ได้ง่าย ๆ กับ InnovestX เพียง 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ โดยเตรียมข้อมูลและเอกสารที่จำเป็นต่อการสมัคร ได้แก่ บัตรประชาชน และบัญชีเงินฝากธนาคาร
ขั้นตอนที่ 2 เข้าแอป InnovestX จากนั้นลงทะเบียนใช้งาน โดยเปิดบัญชีลงทุนได้แบบง่าย ๆ สำหรับผู้ที่เปิดบัญชีลงทุนใหม่ ให้เตรียมบัตรประชาชนและบัญชีเงินฝากเอาไว้ ส่วนผู้ที่เคยสมัครผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ให้เตรียมเฉพาะบัตรประชาชน อีเมลและเบอร์โทรศัพท์ที่เคยสมัคร
ขั้นตอนที่ 3 เลือกคำสั่งซื้อหรือขาย โดยระบุข้อมูลที่จำเป็นอย่าง ตัวย่อของชื่อกองทุน ETF ที่ต้องการซื้อขาย จำนวนที่ต้องการซื้อขาย ราคา และ Pin จากนั้นก็กดปุ่มซื้อ/ขาย เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
รวมไอเดียการลงทุนของทุกสินทรัพย์ไว้บนมือคุณ เมื่อถูกใจก็สามารถ "คลิกลงทุนได้ทันที"
สนใจลงทุนกองทุน ETF ต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องยาก สามารถศึกษาและซื้อผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX ได้ ซื้อได้หลากหลายประเภท ทั้ง กองทุนรวมต่างประเทศ และหุ้น แถมยังมีโปรโมชันคุ้ม ๆ เพียบ
เปิดบัญชีลงทุน InnovestX วันนี้ ลงทุนได้ครบทั้งจักรวาลการลงทุน คลิกดาวน์โหลด
คำเตือน
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
**กองทุน ETF มีผลตอบแทน 2 ส่วน คือ 1) ผลตอบแทนจากการขาย (กำไร) 2) ผลตอบแทนจากเงินปันผล เฉพาะผลตอบแทนจากการขายเท่านั้นที่ไม่เสียภาษีเงินได้ ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต