สรุปสาระสำคัญ
นอกจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี การทำความรู้จักกับตลาดหุ้นโลก ก็ถือเป็นการเปิดโอกาสใหม่ ทำให้เราสามารถเข้าถึงการลงทุนที่หลากหลาย และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้มากขึ้น
วันนี้เราขอชวนนักลงทุนมาทำความรู้จักกับตลาดหุ้นทั่วโลก และดัชนีหุ้นที่น่าสนใจ มาดูกันว่า แต่ละตลาดมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง
ส่องตลาดหุ้นทั่วโลก โอกาสสู่การลงทุนที่ไร้พรมแดน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ในบรรดาตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด โดยมีตลาดหลักอยู่ด้วยกัน 2 แห่ง คือ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange: NYSE) ซึ่งเป็นตลาดแรกที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1792 บางครั้งนักลงทุนอาจเรียกตลาดนี้ว่า "ตลาดหุ้น Wall Street" เนื่องจากมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่บนถนน Wall Street ในเมืองนิวยอร์ก และอีกหนึ่งแห่ง คือ ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq Stock Market: NASDAQ) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1971 โดยยุคแรกเริ่ม ตลาด Nasdaq มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หุ้นตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดกลางที่ไม่สามารถจดทะเบียนในตลาดใหญ่ สามารถเข้ามาจดทะเบียนได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นหุ้นจากบริษัท Start Up หรือ บริษัทเทคโนโลยี ที่ในปัจจุบันได้กลายเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Amazon, Alphabet, Apple, Meta, Microsoft, Nvidia หรือ Tesla
ตลาดหุ้นยุโรป
ภูมิภาคยุโรปมีตลาดหลักทรัพย์ที่สำคัญอยู่ด้วยกัน 3 แห่งหลัก ๆ ได้แก่ London Stock Exchange (LSE), Euronext และ Deutsche Börse โดยแต่ละตลาดมีจุดเด่นดังนี้
⦁ London Stock Exchange (LSE) : หนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีบริษัทจดทะเบียนอยู่มากกว่า 1,000 แห่ง จาก 100 ประเทศทั่วโลก
⦁ Euronext : ตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เกิดจากการรวมตัวของตลาดหลักทรัพย์ 3 แห่ง คือ ตลาดหลักทรัพย์อัมสเตอร์ดัม, ตลาดหลักทรัพย์ปารีส และ ตลาดหลักทรัพย์บรัสเซลล์ จากนั้นจึงมีตลาดอื่น ๆ จากประเทศในยุโรปเข้ามาเพิ่มเติม ได้แก่ ไอร์แลนด์ อิตาลี นอร์เวย์ และโปรตุเกส
⦁ Deutsche Börse : ตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี และใหญ่เป็นอันดับ 3 ในยุโรป
ตลาดหุ้นจีน
นอกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นจีนก็ถือว่าเป็นตลาดหุ้นโลกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 โดยเป็นการรวมตัวของตลาดหุ้นด้วยกันถึง 4 แห่ง ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง, ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้, ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น และ ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง ซึ่งประเภทของหุ้นจีนสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
⦁ หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่
⦁ หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
⦁ หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
อีกหนึ่งตลาดหุ้นโลกที่น่าสนใจ ก็คือตลาดหุ้นญี่ปุ่น หรือ ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange: TSE) ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย เพราะมีบทบาทเป็นแหล่งระดมเงินทุนที่สำคัญของญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
ตลาดหุ้นเวียดนาม
เมื่อพูดถึงตลาดหุ้นทั่วโลก หนึ่งในตลาดหุ้นที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งเอเชีย โดยมีตลาดหลักทรัพย์สำคัญอยู่ด้วยกัน 2 แห่ง คือ ตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Stock Exchange : HOSE) ตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และ ตลาดหลักทรัพย์ฮานอย (Hanoi Stock Exchange : HNX) โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เวียดนามถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีอย่างต่อเนื่อง การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม จึงเริ่มกลายเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลกมากขึ้น
ตลาดหุ้นอินเดีย
ตลาดหุ้นอินเดีย เป็นอีกหนึ่งตลาดหุ้นโลกที่เริ่มมีความโดดเด่น ด้วยแสงสปอตไลต์จากนักลงทุนทั่วโลกที่ฉายไปสาดส่อง เนื่องมาจากมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap.) ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จนขึ้นแท่นเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกไปเมื่อเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นอินเดียประกอบด้วยตลาดหลักทรัพย์ 2 แห่ง ดังนี้
⦁ ตลาดหลักทรัพย์บอมเบย์ (Bombay Stock Exchange : BSE)
⦁ ตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติของอินเดีย (National Stock Exchange of India : NSE)
ดัชนีหุ้นทั่วโลกที่น่าสนใจ
⦁ Dow Jones
ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones) เป็นดัชนีในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีอายุยาวนานมากที่สุด และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะกลุ่มบริษัทที่อยู่ในดัชนีนี้ เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในสหรัฐอเมริกาโดยตรง จึงเป็นตัวชี้วัดถึงสถานการณ์เศรษฐกิจ รายได้ และอัตราการจ้างงานในประเทศ
⦁ S&P 500
S&P 500 ถือเป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นทั่วโลกที่นักลงทุนติดตามมากที่สุดในโลก เพราะ S&P 500 สามารถบ่งบอกถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนของบริษัทใหญ่กว่า 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา ทำให้นักลงทุนสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
⦁ Nasdaq
สำหรับนักลงทุนที่สนใจการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี ต้องไม่พลาดติดตามดัชนี Nasdaq เพราะดัชนีนี้คือดัชนีที่รวมบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีไว้มากที่สุด ซึ่งหุ้นจากบริษัทเหล่านี้มักเป็นหุ้นที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย หากนักลงทุนคนไหนที่มีประสบการณ์ในการลงทุน และสามารถรับมือกับความเสี่ยงได้ ก็สามารถเลือกลงทุนจากหุ้นที่อยู่ในดัชนี Nasdaq ได้เลย
⦁ CSI 300
CSI 300 คือ ดัชนีจากตลาดหุ้นจีนที่สะท้อนถึงภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศจีนได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นดัชนีที่รวมหุ้นจากหลากหลายบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศ ทั้งบริษัทค้าปลีก เทคโนโลยี การเงิน และอุตสาหกรรมการผลิต ตอบโจทย์กับนักลงทุนที่มองหาโอกาสเติบโตด้วยพลังของบริษัทที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในจีน
⦁ HSCEI
อีกหนึ่งดัชนีหุ้นทั่วโลกที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนในตลาดหุ้นจีน คือ HSCEI โดยดัชนีนี้ เป็นดัชนีที่สะท้อนถึงผลตอบแทนของกลุ่มบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งประกอบด้วย 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ สินค้า Luxury, เทคโนโลยี, การเงิน และพลังงาน
⦁ MSCI China
MSCI China คือ ดัชนีที่รวมหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลางในตลาดจีนกว่า 700 หุ้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้า Luxury, การเงิน หรือเทคโนโลยี โดยมีบริษัทเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ Tencent, Alibaba, Meituan และ China Construction Bank
เปิดบัญชีลงทุน พร้อม
ดูหุ้นต่างประเทศที่สนใจ ไปกับ InnovestX แอปพลิเคชันที่มอบโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก เทรดได้กว่า 21 ประเทศ 31 ตลาด ให้คุณร่วมเป็นส่วนหนึ่งในบริษัทชั้นนำทั่วโลกได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้ว สร้างโอกาสเติบโตไปพร้อมกับกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ไม่ว่าคุณจะมองหา
โบรกเกอร์หุ้นอเมริกา หรือโบรกเกอร์หุ้นประเทศใดที่สนใจ ก็สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน แล้วเริ่มต้นใช้งานได้เลย
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ข้อมูลอ้างอิง: