Keyword
Company History

Meta (META) เจ้าของ Facebook, Instagram, WhatsApp และ Messenger ที่มีผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคนต่อวันทั่วโลก

17 Jun 25 11:45 AM
Meta (META) เจ้าของ Facebook, Instagram, WhatsApp และ Messenger ที่มีผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคนต่อวันทั่วโลก
สรุปสาระสำคัญ

Meta Platforms Inc. (META) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ผู้ปฏิวัติวงการโฆษณาดิจิทัลที่เข้าถึงผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคนต่อวันทั่วโลก กำลังยกระดับตัวเองจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสู่การเป็นจักรวาลดิจิทัลแห่งอนาคต กับภารกิจครั้งใหม่ของ Mark Zuckerberg ที่ลงทุนกว่า 14.3 พันล้านดอลลาร์ใน Scale AI เพื่อปั้น “Superintelligence” ที่อาจครองโลก โดยจับมือกับ Alexandr Wang ซีอีโอและผู้ก่อตั้งวัยเพียง 20 ปลาย ๆ ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “อัจฉริยะ AI แห่งซิลิคอนวัลเลย์” ซึ่งอยู่เบื้องหลังเทคโนโลยี AI ชั้นนำของโลก การร่วมมือครั้งนี้เป็นอีกหมากสำคัญในการท้าชน Google และ OpenAI และตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ Zuckerberg ที่ไม่ได้หยุดแค่การเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มโฆษณา แต่กำลังวางรากฐานให้กับโลกเสมือนจริงและ AI ระดับสูง ที่อาจกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของมนุษยชาติในอนาคตอันใกล้

จาก TheFacebook สู่อาณาจักร Meta ที่ครองโลกดิจิทัล

 

เรื่องราวของ Meta เริ่มต้นจากห้องหอพักที่ Harvard University เมื่อ Mark Zuckerberg และเพื่อนร่วมรุ่น Eduardo Saverin, Dustin Moskovitz และ Chris Hughes เปิดตัว TheFacebook ในปี 2004 โดยมีเป้าหมายเพียงเชื่อมต่อนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ความฝันเล็กๆ นั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อนักศึกษาครึ่งหนึ่งของ Harvard สมัครสมาชิกภายในเดือนแรก

 

การลงทุนครั้งสำคัญมาถึงเมื่อ Peter Thiel ให้ความไว้วางใจด้วยเงิน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2004 ต่อด้วยการลงทุนจาก Accel Partners จำนวน 12.7 ล้านดอลลาร์ในปี 2005 ที่ทำให้บริษัทมีมูลค่า 98 ล้านดอลลาร์ และเป็นช่วงเวลาที่บริษัทตัดสินใจเปลี่ยนชื่อจาก TheFacebook เป็น Facebook หลังจากซื้อโดเมน facebook.com ด้วยเงิน 200,000 ดอลลาร์

 

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นเมื่อ Warren Buffett ผ่าน Berkshire Hathaway ตัดสินใจลงทุนใน Facebook ด้วยเงิน 230 ล้านดอลลาร์ในปี 2008 การลงทุนครั้งนี้ไม่เพียงให้เงินทุน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดเห็นศักยภาพอนาคตของบริษัท ในปี 2012 Facebook เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นพร้อมการซื้อกิจการ Instagram ด้วยเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ ตามด้วย WhatsApp และ Oculus VR ที่ทำให้บริษัทมีบริษัทในเครือทั้งหมด 78 บริษัท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Berkshire Hathaway ไม่ได้ถือหุ้นใน Meta แล้ว โดยได้ทยอยขายออกหมดภายในปี 2022

 

การเปลี่ยนชื่อจาก Facebook เป็น Meta ในปี 2021 ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแบรนด์ แต่เป็นการประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในการสร้างโลกเสมือนจริงที่ผสานเทคโนโลยี AR, VR และ AI เข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จากการเป็นบริษัทโซเชียลมีเดียสู่บริษัทเทคโนโลยีแห่งอนาคต

 

 

โครงสร้างรายได้ที่แข็งแกร่งจากการครองตลาดโฆษณาดิจิทัล

 

Meta มีโครงสร้างรายได้ที่มั่นคงจากการดำเนินธุรกิจผ่าน 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. Family of Apps (FoA) 98.7% ของรายได้รวม - เป็นกลุ่มธุรกิจหลักที่ครอบคลุม Facebook, Instagram, WhatsApp, Messenger และแพลตฟอร์มอื่นๆ โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการโฆษณาประมาณ 98% ของรายได้กลุ่มนี้ และรายได้อื่นๆ อีก 2% จากการขายอุปกรณ์และบริการต่างๆ กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องจากการที่ผู้คนใช้เวลาในโลกดิจิทัลมากขึ้น และการพัฒนา Meta AI ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณา
  2. Reality Labs (RL) 1.3% ของรายได้รวม - ธุรกิจที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยี Virtual Reality (VR), Augmented Reality (AR) และ Mixed Reality รวมถึงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้อง แม้จะมีสัดส่วนรายได้น้อย แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่มีศักยภาพเติบโตสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อตลาด Metaverse เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น

Picture3.png

 

โครงสร้างรายได้ที่เน้นหนักไปที่การโฆษณาดิจิทัลทำให้ Meta มีความได้เปรียบในการสร้างรายได้จากข้อมูลผู้ใช้จำนวนมหาศาล พร้อมการใช้ AI ในการวิเคราะห์และเสนอโฆษณาที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ

 

 

กลยุทธ์การเติบโตและจุดแข็งที่แกร่งกว่าคู่แข่ง

 

Meta วางกลยุทธ์การเติบโตผ่านการสร้างระบบนิเวศแบบครบวงจร (Ecosystem) ที่เชื่อมต่อทุกแพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน โดยเน้นการใช้ AI เป็นแกนหลักในการพัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้และเพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณา จุดแข็งที่สำคัญที่สุดคือการมีฐานผู้ใช้งานใหญ่ที่สุดในโลก กว่า 3.4 พันล้านคนที่เข้าใช้งานทุกวัน ทำให้สามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างละเอียดและแม่นยำ

การลงทุนใน Meta AI ที่มีผู้ใช้งานเกือบ 1 พันล้านคนต่อเดือนแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการแข่งขันกับ ChatGPT และ Google Bard นอกจากนี้ การลงทุนมหาศาลใน Reality Labs แม้จะยังไม่เห็นผลกำไรชัดเจน แต่เป็นการเตรียมตัวสำหรับอนาคตของการสื่อสารและการทำงานในรูปแบบใหม่

 

การควบคุมการไหลของข้อมูลและการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งานแบบ Real-time ทำให้ Meta สามารถปรับปรุงอัลกอริทึมและเสนอเนื้อหาที่ตรงใจผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ยากต่อการลอกเลียนแบบ

 

 

การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง

 

เทียบกับ Google (Alphabet): Google และ Meta คือสองยักษ์ใหญ่เจ้าครองตลาดโฆษณาดิจิทัลโลกที่มีแนวทางแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย Google ซึ่งเป็นเจ้าของ YouTube เน้นการโฆษณาผ่านการค้นหาและแพลตฟอร์มวิดีโอที่ผู้ใช้มีเจตนาชัดเจนในการหาข้อมูล ขณะที่ Meta มุ่งเน้นการโฆษณาบนโซเชียลมีเดียที่อาศัยการวิเคราะห์ความสนใจและพฤติกรรมสังคมของผู้ใช้งาน นอกจากนี้ Google ยังมีระบบนิเวศ Android และบริการคลาวด์ที่แข็งแกร่ง ในขณะที่ Meta ลงทุนในโลกเสมือน Metaverse และหน่วยงาน Reality Labs อีกทั้งการแข่งขันด้าน AI ก็เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ โดย Google มี Bard และ Gemini ส่วน Meta มี Meta AI และการลงทุนใน Scale AI ที่ช่วยผลักดันเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง

 

 

เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทในไทย


เทียบกับ Sabuy Technology (SABUY): แม้ในตลาดไทยจะไม่มีบริษัทใดที่ทำธุรกิจแบบเดียวกับ Meta โดยตรง แต่หากมองในมุมของการสร้าง “แพลตฟอร์มเชื่อมต่อและบริการครบวงจร” SABUY คือหนึ่งในบริษัทที่มีแนวคิดคล้ายกันในระดับที่เหมาะเปรียบเทียบ SABUY เริ่มจากธุรกิจตู้เติมเงินและขยายไปสู่ Ecosystem ทางการเงิน, การชำระเงิน, CRM, และการบริหารฐานลูกค้าเชิงลึก Meta ก็ใช้ข้อมูลผู้ใช้งานเพื่อสร้างประสบการณ์โฆษณาที่แม่นยำ ขณะที่ SABUY ใช้ข้อมูลผู้บริโภคเพื่อเชื่อมบริการต่าง ๆ เข้าด้วยกันในโลกออฟไลน์และออนไลน์ แม้ขนาดธุรกิจและเทคโนโลยีจะแตกต่างกัน แต่ทั้งสองต่างขับเคลื่อนด้วย "ข้อมูล" เป็นหัวใจของการเติบโต

 

ความท้าทายและการแข่งขันในยุคดิจิทัล

 

Meta ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะการถูกควบคุมและกำกับดูแลจากรัฐบาลหลายประเทศที่เข้มงวดขึ้น อย่างเช่น Digital Markets Act (DMA) ในยุโรปที่อาจส่งผลกระทบต่อแบบจำลองธุรกิจและรายได้ในภูมิภาคนั้น การแข่งขันจาก TikTok ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในกลุ่มวัยรุ่น และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปใช้แพลตฟอร์มใหม่ๆ มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลและการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม ที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้งาน การลงทุนมหาศาลใน Reality Labs ที่ยังไม่เห็นผลตอบแทนชัดเจนก็เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องติดตาม

 

อนาคตและโอกาสในยุค AI และ Metaverse

 

อนาคตของ Meta มีความสดใสด้วยการเป็นผู้นำในการพัฒนา AI และ Metaverse ที่จะเปลี่ยนวิธีการสื่อสารและการทำงานของมนุษย์ การลงทุนใน Scale AI จำนวน 14.3 พันล้านดอลลาร์และการดึง CEO มาร่วมงานแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแข่งขันด้าน AI กับ Google และ OpenAI การพัฒนา Meta AI ที่มีผู้ใช้งานเกือบ 1 พันล้านคนต่อเดือนเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเติบโตในอนาคต โอกาสจากตลาด Metaverse ที่คาดว่าจะมีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ในอนาคต รวมถึงการพัฒนา AR/VR ที่จะเปลี่ยนวิธีการทำงาน การศึกษา และความบันเทิง ทำให้ Meta มีโอกาสสร้างแหล่งรายได้ใหม่ที่หลากหลายมากขึ้น

 

สนใจลงทุนในหุ้น Meta (Ticker: META, DR: META01/META80) และหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ จากทั่วโลกได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX ที่ให้คุณเข้าถึงการลงทุนระดับโลกได้แบบไร้ขีดจำกัด

สนใจเปิดบัญชีลงทุน คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

Stocks Mentioned
META.NB
Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5