Keyword
Company History

Micron Technology, Inc. (NASDAQ: MU) ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำและการจัดเก็บข้อมูล

26 Sep 25 2:10 PM
Micron (MU)
สรุปสาระสำคัญ

Micron Technology, Inc. (NASDAQ: MU) เป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์สัญชาติอเมริกันที่ในการผลิตและพัฒนาโซลูชันหน่วยความจำและการจัดเก็บข้อมูล ด้วยความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี DRAM (Dynamic Random-Access Memory) , NAND (NAND Flash Memory)และ HBM (High Bandwidth Memory) ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของอุปกรณ์ดิจิทัลทุกประเภท ตั้งแต่สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ ไปจนถึงรถยนต์อัจฉริยะและอุปกรณ์ IoT ความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำรุ่นใหม่และการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงทำให้ Micron Technology สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของตลาดเทคโนโลยี AI, Cloud Computing และ Data Center ทั่วโลก

จากบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ท้องถิ่นสู่ผู้นำระดับโลก

 

Micron Technology ก่อตั้งขึ้นในปี 1978 ที่เมือง Boise รัฐ Idaho โดย Ward Parkinson, Joe Parkinson, Dennis Wilson และ Doug Pitman ด้วยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำที่จะเปลี่ยนโลกดิจิทัล ผลงานสำคัญเกิดขึ้นในปี 1981 เมื่อบริษัทผลิต DRAM 64K-bit รุ่นแรกสำเร็จ และในปี 1984 Micron Technology ก็ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ก่อนจะขยายการผลิตและพัฒนาหน่วยความจำอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษ 1980–1990 ซึ่งถือเป็นการปูรากฐานสำคัญในการก้าวสู่ตลาดโลก

 

เข้าสู่ทศวรรษ 2000 บริษัทเร่งการเติบโตผ่านการควบรวมและซื้อกิจการ เช่น การเข้าซื้อ Lexar International ในปี 2006 และการควบรวมกับ Numonyx ในปี 2010 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในตลาด NOR Flash Memory ขณะเดียวกัน Micron ยังเดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา บริษัทมุ่งพัฒนา 3D NAND และ DDR5 DRAM เพื่อรองรับการใช้งานในยุค AI, Machine Learning และ High Performance Computing รวมถึงการพัฒนาโซลูชันหน่วยความจำสำหรับยานยนต์อัจฉริยะและระบบ 5G

 

ปัจจุบันในปี 2025 Micron ยังคงตอกย้ำบทบาทผู้นำในอุตสาหกรรมด้วยการเป็นรายแรกที่ส่งมอบหน่วยความจำ 1γ (1-gamma), sixth-generation DRAM node-based memory พร้อมเปิดตัวและจัดส่ง SOCAMM module รุ่นแรก และยังได้เริ่มส่งมอบ HBM4 ให้แก่ลูกค้า แสดงให้เห็นถึงการเดินหน้าสร้างนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่งและการยืนหยัดในฐานะหนึ่งในผู้เล่นหลักของตลาดหน่วยความจำโลก

 

 

 

โครงสร้างรายได้และธุรกิจหลัก

 

Micron Technology มีโครงสร้างรายได้หลักแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มธุรกิจหลัก:

Screenshot-2025-09-26-141513.png

 

  1. Compute and Networking Business Unit (CMBU) - 38%
    กลุ่มนี้เป็นรายได้หลักของ Micron Technology โดยมาจากหน่วยความจำ DRAM และ NAND Flash ที่ใช้ใน ศูนย์ข้อมูล (Data Centers) และ Cloud Computing ซึ่งต้องการความเร็ว ความจุสูง และความเสถียรต่อเนื่อง เพื่อรองรับบริการ AI, Big Data และการประมวลผลขนาดใหญ่ ลูกค้าหลักได้แก่ผู้ให้บริการ Cloud ระดับโลก เช่น Microsoft Azure และ Google Cloud

 

  1. Mobile and Client (MCBU) - 25%
    Micron Technology เป็นผู้จัดหาหน่วยความจำให้กับ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และพีซี ทั่วโลก โดย DRAM ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแบบ Multitasking ส่วน NAND Flash ใช้เก็บข้อมูลในอุปกรณ์พกพาและ SSD ความเร็วสูง ความต้องการหน่วยความจำในกลุ่มนี้เติบโตต่อเนื่องจากการอัปเกรดสมาร์ตโฟน 5G และการใช้งาน AI บนมือถือ

 

  1. Storage Business Unit (SBU) - 18%
    รายได้จากผลิตภัณฑ์ SSD (Solid-State Drives), Memory Cards และ USB Drives ที่ใช้โดยผู้บริโภคทั่วไปและองค์กรธุรกิจ Micron ผลิตโซลูชันเก็บข้อมูลที่มีความเร็วสูงและทนทาน รองรับทั้งตลาดพีซี เกมมิ่ง และการใช้งานทั่วไป ซึ่งได้รับอานิสงส์จากความต้องการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ในยุคดิจิทัล

 

  1. Embedded (EBU) - 18%
    Micron Technology เป็นผู้นำด้านหน่วยความจำสำหรับ ยานยนต์อัจฉริยะ (Automotive) และ ระบบอุตสาหกรรม (Embedded Systems) เช่น Advanced Driver Assistance Systems (ADAS), Infotainment และระบบควบคุมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึงอุปกรณ์ IoT และระบบอัตโนมัติในโรงงาน (Industrial IoT) การเติบโตของตลาดรถ EV และยานยนต์ไร้คนขับจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของกลุ่มนี้

 

 

กลยุทธ์การเติบโตและจุดแข็งของ Micron Technology

 

Micron Technology เป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านหน่วยความจำและการจัดเก็บข้อมูล โดยมีความเชี่ยวชาญหลักใน DRAM HBM และ NAND Flash ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการประมวลผลและการเก็บข้อมูลในอุปกรณ์ดิจิทัล ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน ไปจนถึงศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานของโลกดิจิทัลในอนาคต การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI และ Data Economy โดย Micron Technology ได้รับคำสั่งซื้อจากผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด เช่น NVIDIA และ AMD ซึ่งตอกย้ำบทบาทความเป็นผู้นำของบริษัทในห่วงโซ่เทคโนโลยีระดับโลก

 

นอกจากจุดแข็งด้านผลิตภัณฑ์ Micron Technology ยังใช้ AI เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการเร่งกระบวนการออกแบบชิป การตรวจสอบคุณภาพเวเฟอร์ที่รวดเร็วขึ้นกว่า 5 เท่า หรือการใช้ Generative AI เพื่อช่วยพัฒนาโค้ดที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ถึง 30–40% ผลลัพธ์คือการยกระดับคุณภาพสินค้า ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการออกสู่ตลาด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

ในเชิงกลยุทธ์ Micron Technology ยังเดินหน้าสร้างพันธมิตรกับผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์เมกะเทรนด์แห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็น 5G, IoT, Cloud Computing และ Autonomous Vehicles การผสานความเชี่ยวชาญด้าน DRAM และ NAND เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานการผลิตและการลงทุนด้าน R&D ที่แข็งแกร่ง ทำให้ Micron Technology มีศักยภาพไม่เพียงแค่รักษาความเป็นผู้นำ แต่ยังสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดโลก

 

 

 

เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก

 

Micron Technology (Nasdaq : MU) และ Samsung Electronics (KRX : 005930) ต่างเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในตลาดหน่วยความจำ (memory) ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักอย่าง DRAM และ NAND ถือเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ ศูนย์ข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปจนถึงยานยนต์อัจฉริยะ ทั้งสองบริษัทจึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโลกดิจิทัลในปัจจุบัน

 

โดย Samsung Electronics เป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีครบวงจรที่มีขนาดใหญ่ระดับโลก ด้วยมูลค่าตลาดกว่า 395 พันล้านดอลลาร์ และมีผลิตภัณฑ์หลากหลายตั้งแต่สมาร์ตโฟน จอภาพ ชิป logic ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้ Samsung สามารถกระจายความเสี่ยงจากวัฏจักรของตลาดหน่วยความจำได้ดี อีกทั้งยังมีกำลังการผลิตในระดับ mass production ที่ช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยและสร้างความได้เปรียบในด้านการแข่งขันด้านราคา

 

ในทางกลับกัน Micron Technology แม้จะมีขนาดธุรกิจเล็กกว่าที่ราว 186 พันล้านดอลลาร์ แต่กลับมีความโดดเด่นในฐานะบริษัทที่มุ่งเน้นด้านหน่วยความจำและยังเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำรายใหญ่ของสหรัฐฯ อีกทั้ง Micron ได้รับแรงหนุนจากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น CHIPS Act ซึ่งส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศโดยตรง อีกทั้งการที่ Micron โฟกัสเฉพาะธุรกิจ memory ยังทำให้บริษัทสามารถทุ่มทรัพยากรไปกับการพัฒนานวัตกรรม DRAM และ NAND ที่รองรับการใช้งานในเทรนด์อนาคต

 

 

 

เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย

 

HANA Microelectronics (HANA) และ Micron Technology ต่างดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แต่มีบทบาทในห่วงโซ่คุณค่าที่แตกต่างกัน Micron เป็นผู้ผลิตหน่วยความจำ DRAM และ NAND ซึ่งเป็นหัวใจของการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูล โดยมีจุดแข็งด้านการออกแบบและการวิจัยพัฒนา (R&D) ที่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในโรงงานและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อตอบสนองความต้องการที่เติบโตอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรม AI, Data Center และ Mobile Devices

 

ในทางกลับกัน HANA มุ่งเน้นธุรกิจ Assembly & Testing (OSAT) ทำหน้าที่ประกอบและทดสอบชิปตามคำสั่งซื้อจากลูกค้าระดับโลก จุดแข็งของ HANA คือความเชี่ยวชาญด้านกระบวนการผลิตและการลงทุนขยายสายการผลิตเพื่อรองรับดีมานด์ แต่ธุรกิจยังคงมีลักษณะ “ตามคำสั่งผลิต” มากกว่า

 

สิ่งที่ทำให้ Micron Technology โดดเด่นกว่าคือบทบาทเชิงกลยุทธ์ในฐานะผู้เล่น “ต้นน้ำ” ของห่วงโซ่อุตสาหกรรม โดยเทคโนโลยี DRAM และ NAND ของ Micron เป็นรากฐานสำคัญที่ขับเคลื่อนเมกะเทรนด์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น AI, Cloud, 5G หรือ Edge Computing ขณะที่ HANA อยู่ใน “กลางน้ำ–ปลายน้ำ” ซึ่งแม้จะมีความสำคัญ แต่ไม่ได้เป็นผู้กำหนดทิศทางของเทคโนโลยีในระดับโลกเหมือน Micron

 

 

 

ความท้าทายและความเสี่ยง

 

แม้ว่า Micron Technology จะเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านหน่วยความจำและการจัดเก็บข้อมูล แต่บริษัทก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายที่สำคัญในอุตสาหกรรมนี้ ความท้าทายหลักคือการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้เล่นรายใหญ่ เช่น Samsung Electronics, SK hynix, Kioxia และ Western Digital ซึ่งล้วนเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรมากกว่า ทั้งด้านเงินทุน เทคโนโลยี และกำลังการผลิต ทำให้สามารถใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่ก้าวร้าวเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

นอกจากนี้ Micron Technology ยังต้องรับมือกับความผันผวนของราคาหน่วยความจำ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ความไม่แน่นอนดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อรายได้และความสามารถในการทำกำไร ขณะเดียวกันการแข่งขันที่เข้มข้นจากผู้ผลิตในเอเชียและความจำเป็นในการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ก็อาจกดดันต่อโครงสร้างต้นทุนและอัตรากำไรของบริษัทในระยะยาว

 

 

 

อนาคตและโอกาสของ Micron Technology

 

Micron Technology ยังคงเดินหน้าลงทุนด้าน R&D เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตใหม่ ๆ เช่นการใช้ EUV lithography ที่ช่วยให้สามารถผลิตหน่วยความจำที่มีความหนาแน่นสูงขึ้นและประสิทธิภาพดีกว่าเดิม แม้ว่าการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่นี้จะเพิ่มความซับซ้อน ความเสี่ยง และต้นทุน แต่เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

บริษัทมีเป้าหมายชัดเจนในการเป็นผู้นำตลาด HBM (High Bandwidth Memory) โดยวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตจาก 20,000 เวเฟอร์ต่อเดือนในปลายปี 2024 สู่ 60,000 เวเฟอร์ต่อเดือนภายในสิ้นปี 2025 ขณะเดียวกัน Micron Technology ได้เริ่มเดินหน้าผลิต HBM3E และเข้าสู่การพัฒนา HBM4 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2026 เพื่อรองรับความต้องการจากเทรนด์ AI, HPC และศูนย์ข้อมูลทั่วโลก

 

อีกหนึ่งปัจจัยบวกสำคัญคือการลงทุนเพื่อ ย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ ซึ่งไม่เพียงช่วยกระจายความเสี่ยงจากห่วงโซ่อุปทานโลก แต่ยังได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากรัฐบาลผ่าน CHIPS and Science Act ที่มอบสิทธิประโยชน์และเงินอุดหนุนด้านการผลิตชิปในประเทศ

 

 

สนใจลงทุนในหุ้น MicronTechnology (MU) และหุ้นเติบโตอื่นๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในหุ้นต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและความผันผวนของตลาด

 

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5