Leveraged และ Inverse ETFs (L&I ETFs) คือกองทุนรวม ETF ประเภทพิเศษ ที่ใช้อนุพันธ์เพื่อสร้างผลตอบแทนรายวันในอัตราเร่ง (เช่น +2 เท่า / -1 เท่า / -2 เท่า ของดัชนีอ้างอิง) เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรในระยะสั้น หรือป้องกันความเสี่ยงในช่วงตลาดผันผวน แต่ด้วยกลไก “ผลตอบแทนทบต้นรายวัน” (Daily Compounding Effect) การถือ L&I ETFs ระยะยาวอาจจะไม่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุน จึงควรศึกษากลยุทธ์ให้เข้าใจก่อนการลงทุน
ก่อนที่จะเข้าใจเรื่อง Leveraged และ Inverse ETFs จะต้องเข้าใจกองทุนรวม ETF แบบปกติเสียก่อนว่าคืออะไร และมีรูปแบบการลงทุนอย่างไร
ETF หรือ กองทุนรวม ETF (Exchange Traded Fund) คือ กองทุนรวมประเภทหนึ่งที่มีการกระจายการลงทุนเสมือนกองทุนรวมที่อ้างอิงกับดัชนีหรือตามนโยบายที่ผู้ออกกำหนด โดยที่ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า เนื่องจาก ETF มักมีค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนถูกกว่ากองทุนรวมทั่วไป และสามารถซื้อขายด้วยราคาปัจจุบัน (Real time) ได้ในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ซื้อขายได้สะดวก ปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ง่าย และตอบโจทย์ในเรื่องกระจายความเสี่ยง จึงตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนในยุคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทยนั้นอาจยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก ต่างกับ ETF ในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่า เนื่องจากผู้ลงทุนมักใช้เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก เพราะมีความหลากหลายในการลงทุน อีกทั้งมีสภาพคล่องหรือปริมาณการซื้อขายสูง
กองทุนรวม ETF โดยทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภทดังต่อไปนี้
นักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะสั้น ได้กำไรเร็ว หรือต้องการทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง การใช้ Leveraged และ Inverse ETFs ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
Leveraged ETFs คือ กองทุนรวม ETF ที่มีกลยุทธ์การบริหารจัดการที่มุ่งหวังผลตอบแทนแบบเร่ง หรือทวีคูณจากผลตอบแทนรายวันของดัชนีอ้างอิง หรือคิดง่าย ๆ ว่าถ้าดัชนีอ้างอิงขึ้น Leveraged ETF จะขึ้นมากกว่า ในขณะที่หากดัชนีอ้างอิงลง Leveraged ETF ก็จะลงมากกว่า ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงใจผู้ลงทุนที่รักความเสี่ยงสูงได้เต็มที่
ตัวอย่างเช่น
Leveraged ETF 2x S&P 500
แน่นอนว่าข้อดีคือเพิ่มโอกาสทำกำไรได้มากกว่าปกติ แต่หากว่าดัชนีอ้างอิงลดลงก็เสี่ยงที่จะขาดทุนสูงมากกว่าปกติเช่นเดียวกัน
Inverse ETF คือ ETF ที่มุ่งหวังผลตอบแทนสวนทางหรือตรงข้ามกับผลตอบแทนรายวันของดัชนีอ้างอิง กล่าวคือ หากดัชนีอ้างอิงขึ้น ราคาของ Inverse ETF จะลง ในขณะที่หากดัชนีอ้างอิงลง ราคาของ Inverse ETF จะขึ้น
ตัวอย่างเช่น
Inverse S&P 500 ETF
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมี Inverse ETF ประเภทที่สามารถมีกลยุทธ์ที่มุ่งหวังผลตอบแทนตรงกันข้ามแบบทวีคูณได้ด้วย นั่นคือ Leveraged Inverse ETF หากดัชนีอ้างอิงขึ้น ราคาของ Inverse ETF จะลงมากกว่าเป็นทวีคูณของราคาดัชนีอ้างอิงที่ขึ้น ในขณะที่หากดัชนีอ้างอิงลง ราคาของ Inverse ETF จะขึ้นมากกว่าเป็นทวีคูณของราคาดัชนีอ้างอิงที่ลง
ตัวอย่างเช่น
Leveraged Inverse S&P 500 ETF
การลงทุนด้วยกลยุทธ์จะช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงตลาดขาลงก็ตาม
เบื้องหลังของกลยุทธ์ Leveraged และ Inverse ETFs คือ การใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เช่น ฟิวเจอร์ส (Futures) หรือสวอป (Swap) ในการบริหารจัดการเพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามที่ระบุไว้ เช่น +2 เท่า หรือ -1 เท่าของดัชนีอ้างอิงในแต่ละวัน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกองทุนประเภทนี้มีระบบการคำนวณผลตอบแทนแบบ "ทบต้นรายวัน" (Compounding Effect) พร้อมกับการรีเซตอัตราผลตอบแทนใหม่ทุกวัน (Daily Reset) ทำให้ผลลัพธ์จากการถือกองทุนเกินกว่า 1 วัน อาจไม่ตรงกับการเปลี่ยนแปลงของดัชนีอ้างอิงแบบตรงไปตรงมา นักลงทุนจึงต้องเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งก่อนลงทุน
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ 10 อันดับแรกของ Leveraged และ Inverse ETFs ที่มี AUM สูงที่สุดในโลก ล้วนจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยกองทุนที่ใหญ่ที่สุดอ้างอิงกับดัชนี Nasdaq100 แบบ Leverage 3 เท่า ซึ่งให้ผลตอบแทนแรงกว่าดัชนีถึงสามเท่าในแต่ละวัน
แต่สำหรับนักลงทุนไทย สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนดให้ลงทุนใน Leveraged และ Inverse ETFs ได้ไม่เกิน 2 เท่า เพื่อจำกัดความเสี่ยง และส่งเสริมการลงทุนอย่างมีวินัยและรอบคอบ
ปัจจุบันกลยุทธ์การลงทุนแบบ Leveraged และ Inverse ETFs กำลังมาแรงในทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา โดยล่าสุดสูงถึง 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2568) โดยมีสัดส่วนการจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากถึง 71% ขณะที่ในเอเชียประเทศที่มีการจดทะเบียนมากที่สุดคือ ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น และฮ่องกง ตามลำดับ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความสนใจของผู้ลงทุนทั่วโลกที่ใช้ กองทุนนี้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มผลตอบแทนและบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
ทั้งนี้ Leveraged ETF คือเครื่องมือที่มีนักลงทุนสนใจเป็นสัดส่วนสูงที่สุด โดยมีสัดส่วน AUM สูงถึง 88% ของกองทุนประเภทนี้ทั้งหมด ตามมาด้วย Leveraged Inverse 7% และ Inverse 5% ตามลำดับ
ที่มา: Nasdaq Global Indexes, Morningstar
ผลตอบแทนของ Leveraged และ Inverse ETFs มีทั้งแบบทวีคูณและตรงกันข้ามกับผลตอบแทนรายวันของดัชนีอ้างอิง ดังรูปและตารางด้านล่าง ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาความเสี่ยงและการเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ที่มา: สำนักงาน ก.ล.ต.
ที่มา: Nasdaq
ในกรณีที่ผู้ลงทุนถือลงทุน Leveraged และ Inverse ETFs มากกว่า 1 วัน ผลตอบแทนจะแตกต่างจากผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับของดัชนีอ้างอิง เนื่องจากกองทุนประเภทนี้จะมีกลไกสำคัญคือ การปรับการคำนวณอัตราผลตอบแทนตั้งต้นใหม่ทุกวัน (Daily reset) ซึ่งจะทำให้การลงทุนมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงมากขึ้นกว่าการลงทุนใน ETF ปกติทั่วไป โดยมีรายละเอียดในแต่ละกรณีต่อไปนี้
1. หากตลาดมีทิศทางชัดเจน (ขึ้นหรือลงต่อเนื่อง) ผลตอบแทนของ Leveraged และ Inverse ETFs มักจะดีกว่าผลตอบแทนที่คาดหวังว่าจะได้รับของดัชนีอ้างอิง ดังตัวอย่างใน Scenario 1 และ 2 ด้านล่าง (ตามเส้นกราฟสีแดง เทียบกับเส้นประสีฟ้าอ่อน)
ที่มา: Nasdaq
2. หากตลาดผันผวนไร้ทิศทางชัดเจน - ผลตอบแทนของ Leveraged และ Inverse ETFs มักจะแย่กว่าผลตอบแทนที่คาดหวังว่าจะได้รับของดัชนีอ้างอิง ดังตัวอย่างใน Scenario 3 ด้านล่าง (ตามเส้นกราฟสีแดง เทียบกับเส้นประสีฟ้าอ่อน)
ที่มา: Nasdaq
สำหรับการลงทุน Leveraged และ Inverse ETFs ในไทยสามารถทำได้แล้วในปัจจุบัน โดยสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงเกณฑ์รองรับ leveraged และ inverse ETFs มีผลตั้งแต่ 16 มีนาคม 2568
อ้างอิง: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยสำนักงาน ก.ล.ต. อนุญาตให้ผู้ลงทุนไทยสามารถลงทุนใน Leverage & Inverse ETFs ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมีอัตราทวีคูณได้ไม่เกิน 2 เท่า (+/-2x) โดยที่อัตราทวีคูณต้องเป็นจำนวนเต็ม ไม่เป็นทศนิยม ทั้งนี้ เนื่องจากกองทุนประเภทนี้ยังเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่และผู้ลงทุนไทยอาจยังไม่คุ้นเคย สำนักงาน ก.ล.ต. จึงได้กำหนดให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในต่างประเทศ ซึ่งสหภาพยุโรป มาเลเซีย เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และสิงคโปร์ จำกัดอัตราทวีคูณไม่เกิน 2 เท่า เช่นกัน (เว้นแต่กรณี Inverse ETF มาเลเซียจำกัดอัตราทวีคูณไม่เกิน 1 เท่า)
ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถลงทุนใน Leverage & Inverse ETFs และหุ้นต่างประเทศใน 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ โดยเปิดบัญชีหุ้นต่างประเทศ เพื่อลงทุนทั่วโลก ผ่านแอป InnovestX หรือสามารถศึกษาตัวอย่างเพิ่มเติมได้จากตารางด้านล่าง
ชื่อ ETF |
ตราสารอ้างอิง |
อัตราทวีคูณ |
สัญลักษณ์ (Ticker) |
ค่าใช้จ่ายในการจัดการ (Expense Ratio) |
ProShares Ultra QQQ |
NASDAQ-100 Index |
2x |
QLD |
0.95% |
ProShares Ultra Semiconductors |
Dow Jones U.S. Semiconductors Index |
2x |
USD |
0.95% |
Direxion Daily Gold Miners Index Bull 2x Shares |
NYSE Arca Gold Miners Index |
2x |
NUGT |
1.13% |
Direxion Daily CSI China Internet Index Bull 2x Shares |
CSI Overseas China Internet Index |
2x |
CWEB |
1.25% |
ที่มา: ETFDB, InnovestX Wealth Products & Strategy
ชื่อ ETF |
ตราสารอ้างอิง |
อัตราทวีคูณ |
สัญลักษณ์ (Ticker) |
ค่าใช้จ่ายในการจัดการ (Expense Ratio) |
ProShares Short MSCI Emerging Markets |
MSCI Emerging Markets Index |
-1x |
EUM |
0.95% |
ProShares Short QQQ |
NASDAQ-100 Index |
-1x |
PSQ |
0.95% |
ProShares UltraShort Semiconductors |
Dow Jones U.S. Semiconductors Index |
-2x |
SSG |
0.95% |
ProShares UltraShort S&P500 |
S&P500 Index |
-2x |
SDS |
0.89% |
ที่มา: ETFDB, InnovestX Wealth Products & Strategy
ก่อนตัดสินใจใช้เครื่องมือ Leveraged และ Inverse ETFs ในการลงทุนทุกครั้ง ควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งในส่วนของกลไกการทำงาน ข้อดีและข้อควรระวัง เพื่อให้ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตรงกับเป้าหมายการลงทุนมากที่สุด
📱 ลงทุน DR ได้ง่าย ๆ เพียงแค่เปิดบัญชีหุ้นต่างประเทศกับ InnovestX
คลิก https://www.innovestx.co.th/products/stock/offshore
📱 ขั้นตอนการเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX
https://www.innovestx.co.th/products/product-user-guide/detail/manual/onboarding-manual
*หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและพิจารณาความเหมาะสมก่อนตัดสินใจลงทุน