
ถ้าคุณเคยได้ยินคำว่า SSF หรือ Block Trade แต่อาจยังไม่ชัดว่ามันคืออะไร ใช้ยังไง และเสี่ยงแค่ไหน บทความนี้จะสรุปเนื้อหาของ Session 2 Single Stock futures(SSF) Block Trade โดยปูพื้นฐานให้รู้จัก Single Stock Futures และ ว่าเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงหุ้นรายตัว เปิดได้ทั้ง Long และ Short ใช้ Leverage ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียงส่วนหนึ่ง ไปจนถึงการใช้ Block Trade เป็นเครื่องมือเปิดสถานะขนาดใหญ่โดยมีโบรกเกอร์เป็นคู่สัญญา พร้อมอธิบายเรื่องหลักประกัน 3 ระดับ ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องรู้ และแนวทางบริหารความเสี่ยงเชิงปฏิบัติ เพื่อให้นักลงทุนมองเห็นทั้งโอกาส และข้อควรระวังก่อนเริ่มใช้ SSF Block Trade จริง
Single Stock Futures (SSF) คือ "สัญญาซื้อขายล่วงหน้า" ที่มี "หุ้นสามัญรายตัว" ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นสินค้าอ้างอิง
- สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contract) คือ ข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายที่จะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง(หุ้น)ในปริมาณ ราคา และวันเวลาที่กำหนดไว้ในอนาคต
- ลักษณะสำคัญ: ผู้ลงทุนไม่ได้ซื้อขายหรือถือครอง "หุ้นจริง" แต่กำลังซื้อขาย "สัญญาซื้อ/ขายล่วงหน้า" ที่จะซื้อหรือขายหุ้นนั้นในอนาคต
SSF มีจุดเด่นหลัก 3 ประการที่ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความยืดหยุ่นและโอกาสทำกำไรสูง:
การลงทุนใน SSF เปิดโอกาสให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในทุกสภาวะตลาด:
SSF ใช้กลไก "อัตราทด (Leverage)" ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนใช้เงินทุนเริ่มต้นเพียงส่วนหนึ่งเพื่อควบคุมมูลค่าสินทรัพย์ขนาดใหญ่ได้
ตัวอย่างการเปรียบเทียบ สมมติราคาหุ้น AOT คือ 70 บาท
ซื้อหุ้นจริง 1,000 หุ้น: ต้องใช้เงิน 70,000 บาท
เปิด SSF 1 สัญญา (เทียบเท่า 1,000 หุ้น): ต้องวางหลักประกัน (IM) ประมาณ 5,000 - 8,000 บาท (ขึ้นอยู่กับประกาศ TCH)
ผลลัพธ์: เมื่อราคาหุ้นขึ้น 10% (จาก 70 เป็น 77 บาท) กำไรคือ 7,000 บาทเท่ากัน แต่ผลตอบแทนที่คำนวณจากเงินทุนเริ่มต้นของ Single Stock Futures(SSF) จะสูงกว่าการซื้อหุ้นจริงหลายเท่า อย่างไรก็ตาม Leverage ก็เพิ่มความเสี่ยงในการ ขาดทุนสูงขึ้นตามไปด้วย
SSF เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่ถือครองอยู่ โดยไม่ต้องขายหุ้นนั้นออกไป:
สถานการณ์: นักลงทุนมีหุ้น A ที่มีกำไรอยู่แล้ว แต่คาดการณ์ว่าตลาดอาจมีการปรับฐานลงในระยะสั้น
การป้องกันความเสี่ยง: แทนที่จะขายหุ้น A ทิ้ง (ซึ่งอาจต้องเสียภาษีหรือค่าธรรมเนียมหลายครั้ง) นักลงทุนสามารถ เปิด Short SSF ของหุ้น A ในจำนวนสัญญาที่เท่ากันกับหุ้นที่ถืออยู่
ผลลัพธ์: หากราคาหุ้น A ปรับตัวลงจริง การขาดทุนจากมูลค่าหุ้นที่ถือจะถูกชดเชยด้วยกำไรที่ได้จากสถานะ Short SSF ทำให้กำไรโดยรวมในพอร์ตยังคงรักษาระดับไว้ได้
Block Trade คือ บริการซื้อขาย SSF ในปริมาณที่มากเป็นพิเศษ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) เข้ามาเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับนักลงทุน
โดยปกติการซื้อขาย SSF ทั่วไปจะทำผ่านระบบซื้อขายอัตโนมัติ (Automated Order Matching: AOM) ของตลาดอนุพันธ์ (TFEX) แต่เมื่อต้องการซื้อขายในปริมาณมาก (เช่น 100 สัญญาขึ้นไป) อาจเกิดปัญหาเรื่องสภาพคล่อง (Liquidity) หรือทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง
เนื่องจาก SSF มีการใช้ Leverage นักลงทุนจึงต้องทำความเข้าใจเรื่องหลักประกัน (Margin) เพื่อบริหารความเสี่ยง
|
ระดับของหลักประกัน (Margin) |
ระดับเงินที่ต้องวาง |
ความหมายและการทำงาน |
ผลที่ตามมา |
|
หลักประกันเริ่มต้น (Initial Margin: IM) |
100% ของ IM |
เงินขั้นต่ำที่ผู้ลงทุนต้องมีในบัญชีอนุพันธ์เพื่อใช้ เปิด สถานะสัญญา SSF |
หากมีเงินหลักประกันต่ำกว่า IM จะไม่สามารถเปิดสัญญาเพิ่มได้ |
|
หลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin: MM) |
70% ของ IM |
ระดับเงินประกันขั้นต่ำที่ต้องรักษาไว้ ตลอดเวลา ที่ถือสัญญา |
หากมูลค่าหลักประกันลดลงต่ำกว่าระดับ MM จะถูก Margin Call (ถูกเรียกให้วางเงินเพิ่ม) |
|
หลักประกันปิดสถานะ (Force Close Margin: FM) |
30% ของ IM |
ระดับเงินประกันวิกฤตที่ต้องมีในบัญชี |
หากถูก Margin Call แล้วไม่นำเงินมาวางเพิ่มภายในระยะเวลาที่กำหนด จะถูก บังคับปิดสถานะ (Force Close) บางส่วนหรือทั้งหมดเพื่อป้องกันความเสียหายที่มากขึ้น |
หลักการสำคัญ: หากราคาหุ้นเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คาดการณ์ไว้จนทำให้เงินในบัญชีลดลงต่ำกว่า MM นักลงทุนจะต้องเติมเงินเพื่อให้หลักประกันกลับไปอยู่ที่ระดับ IM หรือสูงกว่า เพื่อรักษาสถานะสัญญาไว้ได้
แม้ว่า SSF Block Trade จะเป็นเครื่องมือที่ให้โอกาสในการทำกำไรสูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน นักลงทุนจึงควรตระหนัก และมีแผนการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม
ความเสี่ยงจากการใช้ Leverage (Leverage Risk):
อัตราทด (Leverage) เป็นเหมือนดาบสองคม ในขณะที่มันเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้มาก แต่ก็เพิ่มโอกาสในการขาดทุนได้มากเช่นกัน
การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเพียงเล็กน้อยในทิศทางตรงกันข้าม อาจทำให้เงินหลักประกันของผู้ลงทุนลดลงอย่างรวดเร็วและนำไปสู่การถูก Margin Call (ถูกเรียกให้วางเงินเพิ่ม)
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk):
แม้ว่า Block Trade จะช่วยจัดการสภาพคล่องในการเข้าและออกสถานะปริมาณมากได้ แต่สำหรับ SSF บางตัวที่มีการซื้อขายไม่มากพอ (สภาพคล่องต่ำ) ในตลาดปกติ อาจทำให้เกิดปัญหาในการปิดสถานะได้ หากไม่ได้ทำธุรกรรมผ่าน Block Trade
ความเสี่ยงจากราคาตลาด (Market Risk):
เป็นความเสี่ยงหลักที่เกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้นอ้างอิงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง (เช่น จากข่าวสำคัญ) และเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการขาดทุนในปริมาณมากได้
ความเสี่ยงด้านหลักประกัน (Margin Risk/Margin Call Risk):
หากมูลค่าหลักประกันลดลงต่ำกว่าระดับ Maintenance Margin (MM) นักลงทุนมีภาระผูกพันที่จะต้องนำเงินมาวางเพิ่มให้กลับสู่ระดับ Initial Margin (IM) ภายในเวลาที่กำหนด หากไม่ดำเนินการ อาจถูกบริษัทหลักทรัพย์บังคับปิดสถานะ (Force Close) เพื่อลดความเสียหาย
กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss):
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการซื้อขายด้วย Leverage นักลงทุนควรตั้งราคาหรือระดับ % การขาดทุนสูงสุดที่ยอมรับได้ และพร้อมที่จะปิดสถานะทันทีเมื่อราคาถึงจุดนั้น เพื่อควบคุมการขาดทุนไม่ให้บานปลาย
จำกัดการใช้ Leverage ที่เหมาะสม:
ไม่ควรใช้ Leverage เต็มจำนวนที่โบรกเกอร์อนุญาต ควรแบ่งเงินทุนสำรองไว้ในบัญชีมากกว่าระดับ Initial Margin มากพอสมควร เพื่อรองรับการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ และลดโอกาสถูก Margin Call
ติดตามข่าวสารและวันหมดอายุสัญญา:
ต้องติดตามข่าวสารของหุ้นอ้างอิงอย่างใกล้ชิด และอย่าลืมวันหมดอายุของสัญญา (Expiry Date) เพื่อจัดการปิดหรือย้ายสัญญาไปยังเดือนถัดไป (Roll Over) ได้ทันเวลา
SSF Block Trade เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เข้าใจกลไก และพร้อมรับความเสี่ยง โดยมีประโยชน์หลักคือการใช้ Leverage เพื่อเพิ่มอำนาจการลงทุน และการทำ Short Selling เพื่อเก็งกำไรในตลาดขาลง หรือใช้เป็นกลยุทธ์ Hedging เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตหุ้นที่ถือครองอยู่ อย่างไรก็ตาม กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการใช้ SSF คือ วินัยในการบริหารเงินหลักประกัน (Margin) และการกำหนด จุดตัดขาดทุน (Stop Loss) อย่างชัดเจน เพื่อให้เครื่องมือนี้เป็นตัวช่วยเสริมกำไรได้อย่างยั่งยืนและปลอดภัย
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน US Futures and Options มีความเสี่ยงสูงที่อาจก่อให้เกิดผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจึงไม่เหมาะสมกับทุกคน การซื้อขาย Options ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นหลักทรัพย์ต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงที่มูลค่าสัญญาจะลดลงตามเวลา (Time decay) ความเสี่ยงที่ท่านอาจสูญเสียเงินที่จ่ายเพื่อซื้อสิทธิ์ในตอนแรก (ค่าพรีเมียม) ทั้งหมด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน