Keyword
Bites for Breakfast

Bites for Breakfast - เรื่องต้องรู้ ก่อนเทรด วันนี้ 23 ก.ย. 2568

23 Sep 25 7:30 AM
Bites-Thumbnail-01
สรุปสาระสำคัญ

1. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง นำโดยหุ้นกลุ่ม Tech
2. Nvidia เตรียมลงทุนสูงสุด $100 พันล้านใน OpenAI จับมือขยายอิทธิพล AI โลก
3. H-1B visa กระทบตลาดแรงงาน AI และเทคโนโลยีสหรัฐฯ
4. ราคาทองคำพุ่งทำ All-time High รับเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย
5. ECB อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย (contingency cut) สกัดการแข็งค่าของค่าเงินยูโร
6. PBOC คงอัตราดอกเบี้ย นักวิเคราะห์คาดอาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในไตรมาสที่ 4
7. รัฐบาลไทยเตรียมเข้าดูแลค่าเงิน พร้อมแก้ปัญหาหนี้และเพิ่มสภาพคล่องกับระบบเศรษฐกิจ

Bites for Breakfast - เรื่องต้องรู้ ก่อนเทรด วันนี้ 23 ก.ย. 2568

 

Bites for Breakfast
By INVX Investment Products & Strategy
23 September 2025

1. ดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง Dow Jones +0.14%, S&P 500 +0.44% และ Nasdaq +0.70% ปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องเป็นวันที่สาม นำโดยหุ้น Nvidia ที่พุ่งขึ้น 3.9% หลังประกาศลงทุน $100 พันล้านใน OpenAI และจะซัพพลายชิป data center ให้ OpenAI ขณะที่หุ้น Apple ขยับขึ้น 4.3% จากนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย (target price) ตามสัญญาณความต้องการ iPhone 17 ที่แข็งแกร่ง ส่วนเจ้าหน้าที่เฟดบางรายแสดงความสงสัยต่อความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยยังคงเน้นเป้าหมายควบคุมเงินเฟ้อเป็นหลัก ด้านนักลงทุนยังจับตาตัวเลข PCE ซึ่งเป็นตัววัดเงินเฟ้อสำคัญในสัปดาห์นี้


2. Nvidia ประกาศลงทุนสูงสุด $100 พันล้านใน OpenAI พร้อมจัดหาชิปสำหรับ data center เพื่อเสริมศักยภาพ AI โดยดีลนี้ Nvidia จะลงทุนผ่าน non-voting shares ข้อตกลงนี้จะช่วยให้ OpenAI มีเงินทุนและเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการแข่งขัน ขณะที่ Nvidia ได้ประโยชน์จากการเป็นผู้ผลิตชิปหลัก ด้านนักวิเคราะห์มองว่าดีลนี้เป็นบวกต่อ Nvidia แต่กังวลเรื่อง circular investment และผลกระทบต่อคู่แข่ง เช่น AMD และผู้พัฒนา AI models รายอื่น ๆ


3. คำสั่งใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์กำหนดค่าธรรมเนียม $100,000 สำหรับการสมัคร H-1B visa ใหม่ ซึ่งเป็นวีซ่าสำหรับแรงงานทักษะสูงในบริษัทเทคโนโลยี เช่น Amazon, Microsoft, Meta, Apple แม้ผลกระทบทางการเงินระยะสั้นจะจำกัด แต่บริษัทอาจเร่งปรับกลยุทธ์ เช่น เพิ่มการจ้างงาน (offshoring) ไปยังอินเดีย ฟิลิปปินส์ และเม็กซิโก หรือเร่งนำ AI มาใช้ทดแทนแรงงาน H-1B visa เพื่อปรับแรงงานให้อยู่ในจุดที่เหมาะสม (optimize workforce) ขณะที่คำสั่งมีช่องโหว่ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมหากเป็นประโยชน์ต่อชาติ และจำกัดระยะเวลา 12 เดือน หากไม่ขยายเวลา ทั้งนี้สหรัฐฯ อาจเสียเปรียบด้านการหาบุคลากรที่มีฝีมือ (talent) หากนโยบายกีดกันต่างชาติ (anti-immigration) ถูกใช้เป็นถาวร


4. ราคาทองคำ (Spot gold) พุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ $3,728.22/oz หลังนักลงทุนคาดการณ์เฟดจะเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดย CME FedWatch tool ชี้โอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้สูงถึง 92% และ 81% สำหรับเดือนตุลาคมและธันวาคม นักลงทุนจับตาข้อมูล PCE วันศุกร์นี้เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน Gold ETF มีแรงซื้อจากนักลงทุนมากขึ้น ส่วนเงิน (Silver) ก็ทำสถิติสูงสุดรอบ 14 ปีที่ $43.76/oz โดยภาพรวมราคาทองคำขึ้นมากกว่า 42% ในปีนี้จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์


5. ตลาดการเงินมองว่า ECB อยู่ในจุดที่มีการใช้นโยบายการเงินอย่างเหมาะสมด้วย policy rate ที่ 2% แต่หากค่าเงินยูโรแข็งค่ามากเกินไป อาจบีบให้ ECB ต้องลดดอกเบี้ยแบบฉุกเฉิน (contingency cut) เพื่อสกัดแรงกดดันด้านเงินฝืดและรักษาเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% แม้ Fed จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าต่อ แต่ ECB อาจใช้มาตรการตอบโต้หากการแข็งค่าของค่าเงินยูโรส่งผลลบต่อ GDP และเงินเฟ้อ โดยค่าเงินยูโรแข็งค่าทำสถิติสูงสุดเมื่อเทียบกับคู่ค้า 41 ประเทศ และอาจกระทบการค้าและเงินเฟ้อในช่วงที่เศรษฐกิจยุโรปยังเปราะบาง นักวิเคราะห์เตือนว่าการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรอาจรบกวนสมดุลนโยบายของ ECB ในระยะต่อไป


6. ธนาคารกลางจีน (PBOC) คงอัตราดอกเบี้ย Prime Rate (LPR) ทั้งระยะสั้น 1 ปี ที่ 3.0% และระยะยาว 5 ปี ที่ 3.5% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แม้เศรษฐกิจภายในจะมีสัญญาณอ่อนแอ เช่น ยอดค้าปลีกและผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคมต่ำสุดในรอบปี และธนาคารกลางสหรัฐฯ เพิ่งลดดอกเบี้ย ธนาคารกลางจีนเลือกคงท่าทีระมัดระวัง โดยให้น้ำหนักกับเสถียรภาพค่าเงินและความมั่นคงทางการเงิน นักวิเคราะห์ยังคาดว่าอาจมีปรับลดดอกเบี้ยและ RRR ในไตรมาส 4 หากเศรษฐกิจยังคงซบเซา


7. นายกรัฐมนตรีและว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไทย เตรียมจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจเพื่อรับมือการแข็งค่าของเงินบาทที่แตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ซึ่งสร้างผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง ตลอดจนเตรียมมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนและเร่งเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจผ่านธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมุ่งหวังฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นให้ทันต่อสถานการณ์ ภาคเอกชนและผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการแข็งค่าของเงินบาทและเงินทุนไหลเข้าจำนวนมากเป็นปัจจัยจากภายนอกและสะท้อนความไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในประเทศ รัฐบาลจึงต้องเร่งดำเนินนโยบายที่แม่นยำและบูรณาการข้อมูลทุกส่วนเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะจุด


ประเด็นที่ต้องติดตาม: ดัชนี PMI ภาคการผลิตของยุโรป เดือน ก.ย. คาดการณ์ที่ 50.7 จุดเท่ากับก่อนหน้า และดัชนี PMI ภาคการบริการของยุโรป เดือน ก.ย. คาดการณ์ที่ 50.6 จุด ก่อนหน้าที่ 50.5 จุด

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5