Keyword
Bites for Dinner

Bites for Dinner - เรื่องต้องรู้ก่อนเทรดคืนนี้ 7 ส.ค. 2568

7 Aug 25 6:15 PM
เรื่องต้องรู้ก่อนเทรดคืนนี้
สรุปสาระสำคัญ

1.ฟิวเจอร์สสหรัฐฯ ทรงตัว ท่ามกลางปัจจัยผสมผสาน ผลประกอบการ(+) และภาษีทรัมป์(-)
2.ภาษีใหม่ "ทรัมป์" มีผลแล้วกับกว่า 90 ประเทศ รวมถึงการขู่ภาษี 100% กับชิปนำเข้า
3.Apple ทุ่มทุนเพิ่มในสหรัฐฯ รับปากลงทุนอีก $1 แสนล้าน เพื่อหนีภาษีและเอาใจทรัมป์
4.Toyota หั่นคาดการณ์กำไร ชี้ผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ที่ทำต้นทุนเพิ่มขึ้นกว่า $1 หมื่นล้าน
5.จีนส่งออกดีเกินคาด แม้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ จะลดลง
6.SET แตะ 1280 ก่อนย่อเพราะขายทำกำไร แต่แรงซื้อกลับหุ้นใหญ่ยังมีอยู่

🌙 เรื่องต้องรู้ก่อนเทรดคืนนี้ 7 สิงหาคม 2568

 

1. ฟิวเจอร์ส Dow เพิ่มขึ้น 0.1%, S&P 500 Futures เพิ่มขึ้น 0.3% และ Nasdaq 100 Futures เพิ่มขึ้น 0.3% ตลาดหลักวอลล์สตรีทปรับขึ้นเมื่อวานนี้ โดยได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่ง รวมถึงผลงานที่ดีเกินคาดจาก McDonald’s (MCD) นอกจากนี้ หุ้น Apple (AAPL) ยังพุ่งขึ้นอย่างมากจากข่าวที่บริษัทจะลงทุนเพิ่มเติมในโรงงานผลิตในสหรัฐฯ หลังจากการซื้อขายเมื่อวันพุธ ดัชนี S&P 500 ได้ฟื้นตัวจากภาวะตกต่ำเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีสาเหตุมาจากตัวเลขการจ้างงานรายเดือนที่อ่อนแอ นักวิเคราะห์จาก Vital Knowledge กล่าวว่า "คำอธิบายที่ง่ายที่สุดคือไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงแนวโน้มปัจจุบัน (ซึ่งเป็นขาขึ้น) ภาระการพิสูจน์ตกอยู่กับฝ่ายขาลงที่จะเปลี่ยนอารมณ์ของตลาด และ (จนถึงตอนนี้) พวกเขาล้มเหลว"
    
2. มาตรการภาษีที่สูงขึ้นของทรัมป์กับกว่า 90 ประเทศได้เริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญของทำเนียบขาวในการปฏิรูปการค้าโลก ขณะนี้มีการเก็บภาษี 15% กับประเทศอย่างโบลิเวียและไนจีเรีย ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น ไต้หวัน ถูกเก็บภาษีนำเข้า 20% สำหรับบราซิลและอินเดียเผชิญกับภาษีที่สูงขึ้นไปอีกเพื่อตอบสนองต่อความไม่พอใจของทรัมป์ต่อนโยบายภายในประเทศของพวกเขา คู่ค้าสำคัญอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม ได้บรรลุข้อตกลงการค้าเบื้องต้นกับวอชิงตันก่อนที่ภาษีใหม่จะมีผล ทำให้พวกเขามีอัตราภาษีอยู่ระหว่าง 15% ถึง 20% เพื่อแลกกับการเปิดตลาดให้กับสินค้าอเมริกัน และบางกรณีก็ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน ภาษี 30% สำหรับสินค้าจีนยังคงมีผลบังคับใช้ตามข้อตกลงการพักรบทางการค้าที่ทำกับวอชิงตันเมื่อต้นปีนี้ แต่ข้อตกลงดังกล่าวจะหมดอายุในวันที่ 12 สิงหาคมนี้ ทรัมป์ยังขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษี 100% สำหรับการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมด โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะดึงการผลิตชิปกลับมาในประเทศ อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าบริษัทที่ให้คำมั่นว่าจะลงทุนและสร้างโรงงานในสหรัฐฯ จะได้รับการยกเว้น

 

3. ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้เข้าร่วมกับทรัมป์ที่ทำเนียบขาวเพื่อประกาศว่าจะทุ่มเงินลงทุนเพิ่มเติมอีก 1 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ Cook เน้นย้ำถึงความพยายามของผู้ผลิต iPhone ในการเพิ่มฐานการผลิตในอเมริกา และนำซัพพลายเชนส่วนใหญ่กลับมายังสหรัฐฯ โดยระบุว่าเขารับคำเรียกร้องของทรัมป์อย่าง "จริงจังมาก" หุ้นของ Apple ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 2% ในการซื้อขายช่วงหลังตลาดปิดเมื่อวันพฤหัสบดี หลังจากที่พุ่งขึ้นกว่า 5% ในวันก่อนหน้า ก่อนหน้านี้ Apple เคยประกาศเมื่อต้นปีว่าจะลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ในช่วงสี่ปีข้างหน้า พร้อมกับการจ้างงาน 20,000 ตำแหน่ง และสร้างโรงงานใหม่ในเท็กซัสเพื่อรองรับการพัฒนาเทคโนโลยี AI

 

4. หุ้น Toyota ที่จดทะเบียนในญี่ปุ่นปรับตัวลง หลังจากที่ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์รายนี้ได้ปรับลดแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานประจำปีลง 16% โดยอ้างถึงต้นทุนที่คาดว่าจะสูงขึ้นจากภาษีนำเข้ายานยนต์ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจสูงถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นและค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกกล่าวว่า ขณะนี้บริษัทคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิสำหรับปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2569 จะอยู่ที่ 3.2 ล้านล้านเยน ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 3.8 ล้านล้านเยน การปรับลดประมาณการนี้ พร้อมกับกำไรจากการดำเนินงานที่ลดลงในไตรมาสแรกของ Toyota ตอกย้ำถึงแรงกดดันที่บริษัทและผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติรายอื่นกำลังเผชิญจากนโยบายการค้าที่กว้างขวางและแข็งกร้าวของทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ความต้องการของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่ง โดย Toyota มียอดขายทั่วโลกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสเดือนเมษายนถึงมิถุนายนที่ 1.17 ล้านล้านเยนก็สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

 

5. การส่งออกของจีนเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วขึ้นในเดือนกรกฎาคม แม้การค้ากับสหรัฐฯ จะลดลง ซึ่งบ่งชี้ว่าภาษีนำเข้ายังไม่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกนี้ ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรระบุว่า การส่งออกของจีนเพิ่มขึ้น 7.2% เมื่อเดือนที่แล้วเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจาก 5.8% ในเดือนมิถุนายน ตัวเลขดังกล่าวเกิดขึ้นแม้ว่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะลดลง 22% เมื่อเทียบเป็นรายปี ตัวเลขการลดลงก่อนหน้านี้ในเดือนมิถุนายนและพฤษภาคมอยู่ที่ 16% และ 35% ตามลำดับ ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่าแม้จะมีความกังวลว่าสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ที่เบาบางลงจะยังคงส่งผลกระทบต่อการส่งออก แต่จีนก็ยังสามารถรักษาภาคส่วนนี้ได้ด้วยการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งแนวโน้มนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังเผชิญกับความต้องการของผู้บริโภคที่ซบเซาและวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ

 

6. SET Index ปิดที่ 1265.15 จุด (+0.68จุด / +0.05%) ในวันที่ 7 ส.ค. 2568 ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.0 หมื่นล้านบาท ตลาด SET ปรับตัวขึ้นจนชนแนวต้านที่ 1280 จุด ก่อนที่จะเผชิญกับแรงขายกลับมายังจุดเดิม โดยมีการให้ความสนใจผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 และเห็นแรงซื้อในกลุ่มโรงไฟฟ้าเป็นหลัก มูลค่าการซื้อขายอยู่ในระดับสูง แรงซื้อมาจากกลุ่มรับเหมาฯ เกษตร พลังงาน อสังหาฯ และท่องเที่ยว ขณะที่แรงขาย

 

-----
ที่มา: Investing.com และ InnovestX Research
แปลและเรียบเรียง: Content Team, InnovestX

 

ดาวน์โหลดแอป InnovestX วันนี้ เพื่อเข้าถึงโอกาสการลงทุนในหุ้นสหรัฐและตลาดทั่วโลก
📱 ดาวน์โหลดแอป: https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5