สรุปสาระสำคัญ
ตลาดยังขาดปัจจัยหนุนและดอลลาร์ที่แข็งค่า กดดันเงินบาทให้อ่อนค่า เป็นลบต่อทิศทาง Fund Flow ให้ไหลออก รวมถึงกังวลนโยบายทรัมป์กระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นตัว ปัจจัยลบต่างๆ ทำให้ดัชนียังดูมี Downside โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1450 และ 1440 จุด ตามลำดับ ส่วนการฟื้นตัวถูกจำกัดที่แนวต้าน 1465-1470 จุด
ฟื้นตัวจำกัด ยังดูมี Downside
ประเด็นสำคัญ
- กระทรวงพาณิชย์จีนออกมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดชั่วคราวกับบรั่นดีจาก EU ซึ่งสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมจีนและถูกมองเป็นการตอบโต้หลังขึ้นภาษีนำเข้า EV จีน โดยจะมีผลในวันที่ 15 พ.ย. นี้
- จีนเผยเม็ดเงิน FDI 3Q67 ลดลง 1 พันล้านดอลลาร์ หลังบริษัทต่างชาติทยอยถอนการลงทุนบางส่วนเนื่องจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์, มุมมองลบต่อเศรษฐกิจจีน และการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
- Goldman Sachs ประเมินชัยชนะการเลือกตั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์จะกระทบต่อตลาดทั่วเอเชีย และมองว่าจะเห็นการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอย่างต่อเนื่องสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย หรือเม็กซิโก
- สำนักข่าวนิเคอิเอเชียเผย 7 ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่มีกำไรสุทธิรวม 3Q67 ปรับลง 57%YoY ลดลงครั้งแรกในรอบ 8 ไตรมาส หลังยอดขายหด 4%YoY แม้ได้เงินเยนอ่อนค่าช่วยหนุนแต่ไม่พอชดเชยต้นทุนพุ่งสูง ทั้งเผชิญเกมรุก EV จีนกดดันการแข่งขันรุนแรง
- สำนักงานนิรภัยและการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ เผยกว่า 1 ใน 4 ของการผลิตน้ำมันดิบและ 16% ของการผลิตก๊าซฯ บริเวณอ่าวเม็กซิโกฝั่งสหรัฐฯ ยังหยุดชะงักเนื่องจากผลกระทบของพายุราฟาเอล
- แหล่งข่าวเผยว่า วานนี้คณะกรรมการคัดเลือกบอร์ด ธปท. มีมติเลือก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ และอดีตรมว. คลัง เป็นประธานบอร์ด ธปท. คนใหม่ โดยเตรียมเสนอ ครม. พิจารณาเห็นชอบแล้วทูลเกล้าฯ เพื่อทรงแต่งตั้งต่อไป
- รัฐบาลคาดนักท่องเที่ยวช่วงเทศกาลลอยกระทงปี 2567 คึกคัก ยอดจองเที่ยวบินพุ่ง 36%YoY ตลอดเดือนพ.ย มีจำนวน 73,500 เที่ยวบิน เฉลี่ยวันละ 2,450 เที่ยวบิน
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways Up โดยปัจจัยลบที่มีต่อเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศมีค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ดีคาดเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะยังชะลอตัวลง ทำให้แนวโน้มกาปรับลดดอกเบี้ยยังไม่เปลี่ยนแปลง รวมไปถึงความชัดเจนในการดำเนินนโยบายของทรัมป์ซึ่งเป็นปธน. สหรัฐฯ หลังการเลือกตั้งน่าจะยังเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดยังคงปรับตัวขึ้นต่อไป ทั้งนี้ผลกระทบจากความคาดหวังของนโยบบายรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจมหาภาคจะทำให้ตลาดมีความผันผวนสูงและอาจจะส่งผลกับทิศทาง Fund Flow โดยเฉพาะนโยบายระหว่างประเทศที่มีต่อจีน ส่วนปัจจัยในประเทศคาดจะถูกขับเคลื่อนด้วยการเข้าสู่ช่วงโค้งสัปดาห์สุดท้ายของการประกาศงบ 3Q67 กลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways Up หลังปัจจัยลบในและต่างประเทศค่อนข้างจำกัด โดยในประเทศคาดจะถูกขับเคลื่อนด้วยการเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการประกาศงบ 3Q67 กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
- หุ้น Earning Play สำหรับเก็งกำไรระยะสั้นในโค้งสุดท้ายของการประกาศงบ 3Q67 ซึ่งคาดกำไรจะเติบโตดี YoY และเราแนะนำ Outperform เลือก AWC BDMS TIDLOR CPALL BEM AOT
- หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกหลังทรัมป์คว้าชัยชนะเป็นปธน. สหรัฐฯ – AMATA WHA (นโยบายกำแพงภาษี-ย้ายฐานการผลิต), CPF AOT MINT (นโยบายลดภาษี-เพิ่มกำลังซื้อ และได้ประโยชน์จากดอลลาร์แข็งค่า)
- หุ้นที่ปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์เป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนลดหย่อนภาษี แนะนำหุ้น SET100 ที่มี Div. Yield ขั้นต่ำ 3.5%, ESG Rating และ CG สูง, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และเติบโตในปี 2025 เลือก BBL ADVANC HMPRO BCP ทั้งนี้แนะนำรอซื้อเมื่ออ่อนตัว หลังราคาหุ้นปรับขึ้นมาแรงในช่วงที่ผ่านมา
- สำหรับนักลงทุนที่ยังกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางและต้องการหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
Daily top picks
AWC: 3Q67 กำไรปกติอยู่ที่ 288 ลบ. เพิ่มขึ้น 129%YoY และ 42%QoQ แรงหนุนจากธุรกิจโรงแรมและการบริการที่แข็งแกร่งขึ้นและค่าใช้จ่ายภาษีที่ลดลง ขณะที่มองกำไรจะแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 4Q67 หนุนให้ปี 67 คาดมีกำไรปกติเติบโต 57%YoY และโตต่อ 23%YoY ในปี 2568 จากการดำเนินงานโรงแรมที่ดีขึ้น ซึ่งโมเมนตัมกำไรที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น
BBL: เป็นหุ้นที่เราแนะนำซื้อเพียงตัวเดียวในกลุ่มธนาคาร โดยมองมีปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจาก 1) Valuation ถูกที่สุดในกลุ่มธนาคาร 2) Credit Cost มีแนวโน้มปรับตัวลดลง พร้อมกับมี Upside จาก THAI 3) สินเชื่อมีแนวโน้มเติบโตสูงที่สุดในกลุ่ม 4) มี Upside สำหรับ NIM และ 5) มีความเป็นไปได้สูงหรือมี Upside ที่จะปรับอัตราการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น