สรุปสาระสำคัญ
สรุปการแถลงข่าวของประธาน Fed ในงานสัมมนา Jackson Hole นโยบาย Anti-Involution ภาพรวมธนาคารพาณิชย์ไทย ไตรมาส 2 ปี 2568
- สรุปการแถลงข่าวของประธาน Fed ในงานสัมมนา Jackson Hole Economic Symposium ณ 22 ส.ค. 2025 ประธาน Fed เจอโรม พาวเวลล์ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนในงานสัมมนา Jackson Hole ว่า Fed อาจลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน เนื่องจากความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานเพิ่มขึ้นและเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง โดยมองว่าผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นเพียง "การเปลี่ยนระดับราคาแบบครั้งเดียว" ไม่ใช่แรงกดดันเงินเฟ้อต่อเนื่อง
- เรามองว่า 1. การที่ประธาน Fed ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ เป็นการยอมโอนอ่อนต่อการที่แรงกดดันของประธานาธิบดีทรัมป์ แม้ว่าความเสี่ยงของสงครามการค้าจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นก็ตาม 2. มีความเป็นไปได้ที่ Fed จะลดดอกเบี้ย 1–2 ครั้งในปีนี้ โดยอาจเกิดขึ้นในการประชุมเดือนกันยายนและตุลาคม 3. เราเชื่อว่า แรงกดดันเงินเฟ้อจะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 4/2025 ซึ่งจะทำให้ Fed ต้องเผชิญความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงินและความเสี่ยงทางเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2026 โดยเฉพาะปัญหาวิกฤตการเงินการคลังที่สหรัฐมีขาดดุลงบประมาณสูงถึง 6.5% ของ GDP และหนี้สะสม 36 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งหนี้สาธารณะที่สูง การขาดดุลการคลังที่มาก รวมถึงความเสี่ยงเงินเฟ้อในระยะต่อไปที่พุ่งสูงขึ้นจะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวพุ่งสูงขึ้น (เราคาดพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีจะวิ่งขึ้นไปที่ 4.7% จากปัจจุบันที่ประมาณ 4.3%) และทำให้ความเสี่ยงวิกฤตการคลังในระยะต่อไปเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม รายได้จาก Tariff ที่สูงขึ้นอาจช่วยลดทอนความเสี่ยงวิกฤตการคลังได้บ้าง 4. เราปรับคาดการณ์ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเป็น 32.8 บาทต่อดอลลาร์ จาก 33.7 บาทต่อดอลลาร์
- นโยบาย Anti-Involution ของจีน เป็นยุทธศาสตร์ใหม่ที่มุ่งแก้ไขปัญหาการแข่งขันแบบทำลายล้างที่เกิดจากการผลิตเกินความต้องการอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้เกิดเงินฝืดติดต่อกัน 32 เดือนและราคาสินค้าอุตสาหกรรมลดลงใน 25 จาก 30 ภาคส่วน เห็นได้จากรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายในราคาต่ำกว่า 8,000 ดอลลาร์และร้านกาแฟขายเครื่องดื่มเพียง 1 หยวน แม้นโยบายนี้อาจสามารถฟื้นฟูอัตรากำไรได้เหมือนการปฏิรูปโครงสร้างฝ่ายอุปทานช่วง 2015-2017 แต่การใช้ครั้งนี้ท้าทายกว่าเดิมเนื่องจากอุตสาหกรรมที่เป็นปัญหาถูกควบคุมโดยบริษัทเอกชนที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่ควบคุมได้ง่าย เรามองว่านโยบายนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนในหุ้นจีน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสายป่านยาว แต่จะเพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคม เนื่องจากเอื้อประโยชน์ให้บริษัทขนาดใหญ่มากกว่าขนาดเล็ก และอาจทำให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากจะทำให้ผู้ตกงานมีมากขึ้น
- ภาพรวมธนาคารพาณิชย์ไทย ไตรมาส 2 ปี 2568 ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาส 2 ปี 2568 ยังคงมั่นคง โดยมีอัตราเงินกองทุน (BIS ratio) เพิ่มขึ้นเป็น 21.0% และสภาพคล่อง (LCR) อยู่ที่ 204.8% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล แต่ยังเผชิญปัญหาสินเชื่อหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ที่ -0.9% เนื่องจากการนำ Responsible Lending มาใช้อย่างเคร่งครัดและความระมัดระวังของธนาคาร โดยเฉพาะสินเชื่อ SME ที่หดตัว -6.0% ขณะที่หนี้ไม่ก่อรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 2.91% แม้ผลประกอบการของธนาคารจะปรับดีขึ้นด้วยกำไรสุทธิ 7.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5%
- เรามองว่า การเปลี่ยนแปลงผู้นำ ธปท. ในช่วงต่อไป อาจส่งสัญญาณถึงการปรับนโยบายให้ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเข้าถึงสินเชื่อของธุรกิจ SME และครัวเรือนในอนาคต
สรุปการแถลงข่าวของประธาน Fed ในงานสัมมนา Jackson Hole Economic Symposium ณ 22 ส.ค. 2025
- การแถลงข่าวของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในงานสัมมนา Jackson Hole Economic Symposiumณ 22 ส.ค. 2025 สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้:
- 1. Fed อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าอาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป (ในเดือนกันยายน) หากข้อมูลเศรษฐกิจยังคงสนับสนุนแนวทางดังกล่าว
- 2. พาวเวลล์กล่าวว่าสถานการณ์ในตลาดแรงงานอยู่ในภาวะ "สมดุลที่น่าสงสัย" (curious kind of balance) โดยทั้งอุปสงค์และอุปทานแรงงานชะลอตัวลง เขายอมรับว่าความเสี่ยงต่อการจ้างงานกำลังเพิ่มขึ้น และหากความเสี่ยงนั้นเกิดขึ้นจริง อาจนำไปสู่การเลิกจ้างที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขายังกล่าวอีกว่าการเติบโตของ GDP ชะลอตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งส่วนใหญ่สะท้อนถึงการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค
- 3.พาวเวลล์ ระบุชัดเป็นครั้งแรกว่า ผลกระทบของภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นถือเป็น “การเปลี่ยนระดับราคาแบบครั้งเดียว” (one-time price level shift) ไม่ใช่แรงกดดันเงินเฟ้อแบบต่อเนื่อง โดยชี้ว่าแม้ผลกระทบจะทยอยเกิดขึ้นผ่านห่วงโซ่อุปทาน แต่โดยพื้นฐานไม่น่าก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อยืดเยื้อ
- 4. พาวเวลล์เน้นย้ำถึงความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างเป้าหมายของ Fed สองประการ ได้แก่ การรักษาเสถียรภาพราคา (เงินเฟ้อที่ 2%) และการจ้างงานสูงสุด ขณะที่ปัจจุบันความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อลดลงและความเสี่ยงต่อการจ้างงานเพิ่มขึ้น
- เรามองว่า 1. การที่ประธาน Fed ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ เป็นการยอมโอนอ่อนต่อการที่แรงกดดันของประธานาธิบดีทรัมป์ แม้ว่าความเสี่ยงของสงครามการค้าจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นก็ตาม โดย Yale Budget Lap มองว่า การปรับขึ้นภาษีจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1.8% ในระยะสั้นและ 1.5% ในระยะยาว ขณะที่เรามองว่าเงินเฟ้อจะขึ้นสู่ 3.6% ในช่วงสิ้นปี
- 2. เราเริ่มมองว่า มีความเป็นไปได้ที่ Fed จะลดดอกเบี้ย 1–2 ครั้งในปีนี้ โดยอาจเกิดขึ้นในการประชุมเดือนกันยายนและตุลาคม โดยอาจพิจารณาจากพัฒนาการของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อว่า แรงกดดันเงินเฟ้อจะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 4/2025 ซึ่งจะทำให้ Fed ต้องเผชิญความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป
- 3. เรามองว่า การปรับท่าทีนี้ขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ Fed คนอื่นๆ เช่น Austan Goolsbee (ประธาน Fed Chicago) ที่กังวลเรื่องเงินเฟ้อด้านบริการ หรือ Beth Hammack (ประธาน Fed Cleveland) ที่ไม่เห็นจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยในกันยายน และทำให้นักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่าย เช่น จากธนาคาร Bank of America กังวลว่าอาจเป็น "นโยบายผิดพลาด" เนื่องจากเศรษฐกิจแสดงสัญญาณฟื้นตัว หุ้นยังอยู่ใกล้จุดสูงสุด และเงินเฟ้อยังสูงกว่าเป้าหมาย 2%
- 4. Fed ได้มีการ Flexible Average Inflation Targeting (FAIT) เป็นการเน้นการจ้างงานสูงสุดที่ไม่กระทบเสถียรภาพราคา บ่งชี้ว่า Fed มุ่งเน้นความสำคัญตลาดแรงงานมากขึ้น
- 5. เรามองว่า หาก Fed ลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในการประชุม FOMC ในปีนี้ ท่ามกลางเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นไปได้ที่ Fed อาจต้องขึ้นดอกเบี้ยในปี 2026 หากเงินเฟ้อพุ่งขึ้นแตะระดับ 4-5%