Keyword
PDF Available  
Macro Making Sense

ความเสี่ยงวิกฤตธนาคารสหรัฐฯ ฝรั่งเศสถูกปรับลดอันดับเครดิต วิเคราะห์ 4th Plenum ผ่านเลนส์โนเบล

By ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์|20 Oct 25 6:58 AM
สรุปสาระสำคัญ

สรุประเด็นความเสี่ยงวิกฤตธนาคารสหรัฐฯ วิกฤตการคลังโลก: ฝรั่งเศสถูกปรับลดอันดับเครดิต วิเคราะห์ 4th Plenum ผ่านเลนส์เศรษฐศาสตร์โนเบล 

  • ความเสี่ยงวิกฤตธนาคารสหรัฐฯ: จาก Interest Rate Risk สู่ Credit Risk และ Liquidity Risk ภายใต้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ Zions Bancorp และ Western Alliance Bancorp ที่ต้องตั้งสำรองหนี้สูญและยื่นฟ้องผู้กู้ในข้อหาฉ้อโกง ทำให้หุ้นธนาคารทั้งสองร่วงกว่า 10% และดัชนี KBW Bank Index ลดลง 6% แม้นักวิเคราะห์จะมองว่าเป็นเพียง "ปัญหาสินเชื่อครั้งเดียว" แต่เรามองว่า สิ่งที่แตกต่างจากวิกฤต 2023 ที่เกิดจาก "interest rate risk" (Silicon Valley Bank ขาดทุนจากพันธบัตร 1.8 พันล้านดอลลาร์) ขณะที่ปัจจุบันเป็นปัญหา "credit risk" จากคุณภาพสินเชื่อที่ลดลงและการฉ้อโกง รวมถึง "liquidity risk" ที่เพิ่มสูงขึ้น เห็นได้จากธนาคารหลายแห่งเริ่มกู้เงินผ่าน overnight repo ของ Fed ติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โควิด-19 และเงินสำรองของธนาคารลดลงต่ำกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้ประธาน Fed Jerome Powell ส่งสัญญาณเตรียมยุติ Quantitative Tightening (QT) เร็วกว่าที่คาดเพื่อรองรับความตึงตัวของสภาพคล่อง ความเสี่ยงที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ธนาคารโดยตรง ทั้งนี้ เรามองว่า ความเสี่ยงภาคธนาคารสหรัฐในระยะต่อไปได้แก่ ที่การเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างธนาคารกับสถาบันการเงินนอกระบบ โดยเฉพาะตลาด private credit ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความเสี่ยงระบบใหม่ที่ขาดความโปร่งใสและการกำกับดูแลที่เพียงพอ หรืออาจเรียกได้ว่า Shadow Banking ของสหรัฐ
  • วิกฤตการคลังโลก: ฝรั่งเศสถูกปรับลดอันดับเครดิต โลกกำลังเผชิญความเสี่ยงวิกฤตการคลังที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยประเทศพัฒนาแล้วมีหนี้สาธารณะเฉลี่ย 110% ของ GDP และขาดดุลเฉลี่ย 4% ท่ามกลางแรงกดดันจากต้นทุนดอกเบี้ย ประชากรสูงอายุ และค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม
  • ฝรั่งเศสเผชิญวิกฤตรุนแรงที่สุด โดย S&P ปรับลดอันดับเครดิตเป็น A+ จาก AA- ทำให้สูญเสียเรตติ้ง AA จากสองในสามบริษัทประเมินหลักภายในหนึ่งเดือน สาเหตุหลักคือความไม่มั่นคงทางการเมืองรุนแรงที่สุดตั้งแต่ปี 1958 โดยสภาล้มนายกรัฐมนตรีสองคนในหนึ่งปีเพราะแผนงบประมาณ นายกฯ เซบาสเตียน เลอกองนู อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเพราะยอมประนีประนอมให้มีขาดดุลมากขึ้นและระงับการปฏิรูปบำเหน็จบำนาญ โดย S&P คาดว่าขาดดุลปีหน้าจะลดเพียงเล็กน้อยเป็น 5.3% และเตือนอาจปรับลดเรตติ้งเพิ่มหากสถานการณ์แย่ลง ทางออกของวิกฤตมีจำกัด เพราะการเพิ่มภาษีและลดค่าใช้จ่ายยากทางการเมือง ทำให้ทางออกที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการใช้เงินเฟ้อลดมูลค่าหนี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะ Stagflation และทำให้ความเสี่ยงวิกฤตหนี้สาธารณะเป็นความเสี่ยงอันดับ 1 ในปี 2026
  • วิเคราะห์ 4th Plenum ผ่านเลนส์เศรษฐศาสตร์โนเบล การประชุม Fourth Plenum ของจีน (20-23 ตุลาคม 2025) มีความสำคัญยิ่งในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจทศวรรษหน้า ท่ามกลาง catch-up effect ที่เริ่มหมดพลัง เมื่อวิเคราะห์ผ่านมุมมองนักเศรษฐศาสตร์โนเบลปีนี้ (Aghion, Howitt และ Mokyr) แผนห้าปีสะท้อนยุทธศาสตร์หลัก 3 ด้าน: (1) การผลักดันนวัตกรรม ตามทฤษฎี Endogenous Growth โดยส่งเสริมเทคโนโลยีชิปและหุ่นยนต์เพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ (2) ความมั่นคงทางเทคโนโลยี สอดคล้องแนวคิด Mokyr และ Acemoglu ที่เน้นสถาบันต้องปกป้องและสร้างองค์ความรู้ในประเทศ และ (3) การปรับสู่การบริโภคในประเทศ ซึ่งเป็น "แรงขับนวัตกรรม" ที่กระตุ้นธุรกิจคิดค้นสินค้าใหม่ โดยนักลงทุนจับตามาตรการ "Anti-Involution" และนโยบายกระตุ้นการบริโภค การประชุมครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของจีนจาก "การเลียนแบบ" สู่ "การสร้างนวัตกรรมด้วยตนเอง"
Author
Slide3
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์

หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5