สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 11 - 15 สิงหาคม 2025
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์
ตราสารทุน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอการปรับตัวขึ้น หลังราคาหุ้นปรับขึ้นมาต่อเนื่องจน Valuation ตึงตัว และสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว จึงแนะนำให้ใช้โอกาสที่ตลาดปรับฐานในการทยอยสะสมเน้น Selective ที่หุ้น Quality สำหรับระยะยาวเรายังคงชื่นชอบหุ้น EM เช่น จีน เวียดนาม ด้านตลาดหุ้น DM เราชื่นชอบตลาดหุ้นยุโรปจาก Valuation ไม่แพงและคาดการเติบโตของ EPS จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ตราสารหนี้
เรายังคงมุมมองว่าตราสารหนี้ที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี จะยังคงให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดีกว่าตราสารหนี้อายุยาว แม้ความกังวลเกี่ยวกับตลาดแรงงานสหรัฐฯจะกดดันให้ Bond Yield ปรับตัวลดลง แต่ความกังวลด้านเงินเฟ้อยังคงหนุนให้ Bond Yield ตราสารหนี้ระยะยาวปรับตัวลดลงได้จำกัด ส่งผลให้การลงทุนในตราสารหนี้อายุยาวยังคงเผชิญกับความผันผวนสูง
สินทรัพย์ทางเลือก
เราประเมินว่าราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มปรับตัวในกรอบ โดยมีแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง หลังตลาดให้น้ำหนักการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความกังวลกับสงครามการค้าเพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯขึ้นภาษีอินเดียเป็นปัจจัยช่วยหนุนราคาทองคำ อย่างไรก็ตามการบรรลุข้อตกลงของคู่ค้าสหรัฐฯหลายประเทศในช่วงที่ผ่านมา ช่วยลดแรงกดดันทางการค้า ส่งผลให้ราคาทองคำอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างจำกัดในสัปดาห์หน้า ด้าน REIT เราเริ่มชอบ REIT ไทย หลังอาจได้รับประโยชน์จากแนวโน้มธนาคารแห่งประเทศไทยที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในระยะถัดไป ในขณะที่มูลค่าอยู่ในระดับถูกโดยพิจารณาจาก ส่วนต่างผลตอบแทนกับพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี (Earning Yield Gap) ที่ 7.32% ถือว่าถูกที่สุดเป็นประวัติการณ์
[Theme Play]
Europe Equity: กิจกรรมทางเศรษฐกิจของยุโรปยังคงแสดงสัญญาณเชิงบวก โดยเฉพาะในภาคบริการที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการผลิตมีเสถียรภาพมากขึ้น ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ได้แก่ นโยบายการคลังที่ผ่อนคลายในกลุ่มประเทศยุโรปยังคงเพิ่มขึ้น รวมถึงแผนการกลับเข้ามาลงทุนในประเทศของบริษัทเยอรมนีมีแนวโน้มช่วยหนุนเศรษฐกิจในเยอรมนี ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในระยะข้างหน้า หากพิจารณากำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนกลับมาลงทุนในยุโรปมากยิ่งขึ้น
Gold: ราคาทองคำกำลังเข้าสู่ไตรมาส 3 ซึ่งตามสถิติเป็นฤดูกาลที่ราคาทองมักปรับขึ้น ขณะที่แนวโน้มดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ยังอ่อนค่าจากคาดการณ์ Fed ลดดอกเบี้ย หนุนราคาทอง ด้านปัจจัยพื้นฐาน หนี้สาธารณะทั่วโลกยังสูง เสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน ขณะที่กระแส De-dollarization เดินหน้าลดการถือครองดอลลาร์สหรัฐฯ และธนาคารกลางทั่วโลกยังมีแนวโน้มซื้อทองคำเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้านเทคนิค ราคาทองอยู่ช่วงปลายของการพักฐานราว 3 เดือน เตรียม Breakout ขาขึ้น หลังทำ higher low และ higher high สอดคล้องกับพฤติกรรมราคาช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
China A-Shares: หุ้นจีน A-Share ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังตัวเลขเศรษฐกิจของจีนยังแสดงให้เห็นถึงการขยายตัว โดย A-Shares ราคายัง Laggard เมื่อเทียบกับ H-Shares จึงมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ สี จิ้นผิง ส่งสัญญาณจีนเตรียมคุมสงครามราคา และแก้ปัญหาภาคอสังหาฯ เพื่อแก้ปัญหาเงินฝืดและฟื้นเศรษฐกิจ หนุน Sentiment หุ้นจีน ปัจจุบันดัชนี CSI 300 มี Valuation ไม่แพง และกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว นอกจากนี้ A-Shares มีความสัมพันธ์ต่อหุ้นโลกและหุ้นสหรัฐฯ ต่ำ สามารถใช้ในการกระจายความเสี่ยงออกจากหุ้นโลกได้
Vietnam Equity: ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 3 ปี และเดินหน้าปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หลังบรรลุดีลกับสหรัฐฯ แม้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เก็บจะสูงราว 20% แต่ก็ต่ำกว่าการประกาศครั้งแรกที่ 46% นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามได้เดินหน้านโยบายปฏิรูปเชิงลึกผ่าน Resolution 68 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ยกระดับภาคเอกชนสู่แรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และล่าสุดรัฐบาลเวียดนามปรับเพิ่มการขยายตัวของ GDP ปี 2025 ที่ 8.3-8.5% และตั้งเป้าหมายการเติบโตสูงกว่า 10% สำหรับปี 2026-2030 อีกทั้ง ตลาดหุ้นเวียดนามมีโอกาสถูกยกระดับสู่ FTSE Emerging market ในช่วงเดือนก.ย. เป็นอีกปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นเวียดนาม แนะนำให้ทยอยลงทุนในหุ้นเวียดนาม
[Event Play]
TH REITs : REITs ไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากแรงหนุนที่ ธปท. อาจเข้าสู่วัฏจักรปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย อีกทั้ง REITs ไทยมีส่วนต่างปันผลกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Dividend Yield Spread) พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.32% และอัตราปันผลเฉลี่ย 8.79% สูงกว่า REITs ภูมิภาคอื่น ๆ ขณะเดียวกัน ดัชนี SETPREITs ส่งสัญญาณทางเทคนิคกลับตัว หลังราคาทะลุ Downtrend line และ sentiment ตลาดหุ้นไทยโดยรวมเริ่มฟื้น ชี้โอกาสลงทุนระยะสั้น
China Tech: แนะนำลงทุนหุ้นเทคจีน โดยมองว่ารัฐบาลจีนจะยังคงใช้นโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจต่อ นอกจากนี้การเข้ามาควบคุมการแข่งขันด้านราคามีโอกาสจะช่วยหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลเข้ามาดูแลให้เพิ่มขึ้นในระยะยาว เช่น EV พลังงานสะอาด และกลุ่มแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นกลุ่มที่กองทุนลงทุน ด้านพื้นฐานมองว่า EPS Growth ในไตรมาสที่เหลือของปียังเติบโตในระดับสูง และโดดเด่นเมื่อเทียบกับหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯขณะที่ Valuation ยังถูก (Forward P/E 16.6 เท่า vs ค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 24)
Global Healthcare: เราประเมินว่าราคาหุ้นในกลุ่ม Global Healthcare ได้ปรับตัวลงมาสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ทั้งจากประเด็นภาษียาและปัจจัยลบเฉพาะตัว ขณะเดียวกัน Valuation ในปัจจุบันอยู่ในโซน Deep Value โดยซื้อ-ขาย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมาก (-2 S.D.) และผลประกอบไตรมาส 2 ของบริษัท Global Healthcare ที่ทยอยประกาศออกมา ส่วนใหญ่กำไรและรายได้สูงกว่าคาดการณ์ สะท้อนปัจจัยพื้นฐานยังดี รวมถึงสัญญาณในเชิงเทคนิค สะท้อนโอกาสในการฟื้นตัวได้ในระยะถัดไป นอกจากนี้ กลุ่ม Healthcare ยังมีลักษณะเป็นหุ้นแนว Defensive ที่สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดี จึงมีโอกาสได้รับความสนใจจากการสลับกลุ่มลงทุน (sector rotation) โดยเฉพาะในช่วงที่ดัชนี S&P 500 เริ่มเข้าสู่ระดับ Valuation ที่ตึงตัว และความกังวลหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐฯ