สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 27 - 31 ตุลาคม 2025
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์
ตราสารทุน
สัปดาห์หน้า คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสผันผวนสูงจากการเยือนเอเชียของทรัมป์และการพบกับสี จิ้นผิง โดยตลาดรอลุ้นพัฒนาการด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ขณะเดียวกัน การประชุม FOMC จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยหากเฟดประกาศรายละเอียดการยุติ QT อาจช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนระยะสั้น ในขณะที่ผลประกอบการของสหรัฐฯ ในภาพรวมออกมาแข็งแกร่งในหลาย Sector สนับสนุนโอกาสเกิด Sector Rotation โดยเฉพาะกลุ่ม Healthcare ที่ราคายัง laggard และมี Valuation ที่น่าสนใจ ด้านตลาดหุ้นจีนที่ยังมี Valuation ไม่แพงยังคงมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน สำหรับตลาดหุ้นยุโรปเราประเมิน Valuation ที่ยังสมเหตุสมผล ในขณะที่คาดการณ์การเติบโตของ EPS เร่งตัวขึ้นยังคงในปีหน้าเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปยังคงมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แม้ในระยะสั้นการฟื้นตัวอาจยังจำกัด แต่คาดว่าทิศทางโดยรวมมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
ตราสารหนี้
ตราสารหนี้มีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากเฟดที่ส่งสัญญาณยุติการทำ QT มีโอกาสหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม เฟดที่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อสหรัฐฯและเศรษฐกิจที่ยังขยายตัว รวมถึงมีความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลทางการคลัง จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัด โดยภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด
สินทรัพย์ทางเลือก
ราคาทองคำร่วงแรงหลังทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ $4,381 ซึ่งนับเป็นการปรับตัวลงรายวันที่แรงที่สุดในรอบกว่า 5 ปี สาเหตุหลักมาจากแรงขายทำกำไรหลังราคาปรับขึ้นต่อเนื่องจากความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟดและแรงเก็งกำไรในช่วงก่อนหน้า ในระยะสั้น เราประเมินว่าทองคำมีแนวโน้มเข้าสู่ช่วงพักฐานหลังปรับตัวขึ้นแรง นักลงทุนจึงควรรอให้ราคาสร้างฐานใหม่ก่อนทยอยเข้าสะสมเพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่ผู้ถือทองคำอยู่แล้วอาจพิจารณาทยอยขายทำกำไรเพื่อป้องกันความผันผวน
ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลายเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ REITs ไทยที่ยังคง Laggard เมื่อเทียบกับ SET Index มีความน่าสนใจ และดึงดูดเม็ดเงินของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดได้
[Theme Play]
China Technology: การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงเน้นย้ำการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี การเติบโตเชิงคุณภาพ และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นโยบายเหล่านี้ยังคงมีแนวโน้มสนับสนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนต่อ ด้าน Valuation ของกลุ่มเทคโนโลยีจีนยังคงใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยราว 24 เท่า แต่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีกว่าใน 1-2 ปีข้างหน้า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นจึงมีโอกาสให้หุ้นเทคโนโลยีของจีนสามารถซื้อขายบน PE ที่สูงกว่าได้
Europe Equity: เศรษฐกิจของยุโรปที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภายในภูมิภาค คาดว่าจะหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 ให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 และคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2027 ในขณะที่ผลการดำเนินงานของกลุ่มสินค้าแบรนด์หรูในไตรมาสที่ 3/2025 เริ่มส่งสัญญาณถึงจุดต่ำสุดช่วยหนุนเป็นปัจจัยหนุนบรรยากาศการลงทุน โดย STOXX 600 ยังคงมีระดับ Forward PE ที่สมเหตุสมผล ช่วยหนุนให้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อในช่วงที่ EPS เร่งตัวขึ้น
China A-Shares: หุ้นจีน A-Shares มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ในขณะที่ความคาดหวังการเจรจาการค้าระหว่างสี จิ้งผิงและทรัมป์ เป็นปัจจัยหนุนในระยะสั้น เราประเมินว่า รัฐบาลจีนยังคงมีแนวโน้มใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตได้ตามเป้าที่ระดับ 5% เป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นจีนต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน Valuation อยู่ในระดับไม่ตึงตัวมาก ในขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
[Event Play]
TH Equity: เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย แม้ระยะสั้นการฟื้นตัวอาจยังจำกัด แต่คาดว่าทิศทางโดยรวมมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากแรงหนุนของ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายขาลง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นสภาพคล่องและลดต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ เราจึงยังคง แนะนำทยอยเข้าลงทุนในหุ้นไทยอิงดัชนี SET Well-being (SETWB) ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนโดดเด่น จากอานิสงส์ของนโยบายกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในกลุ่ม ค้าปลีก อาหาร และการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ
TH REITs : REITs ไทยยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของเฟด และจากแรงหนุนที่ ธปท. เข้าสู่วัฏจักรการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย หลังเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย อีกทั้ง REITs ไทยมีส่วนต่างปันผลกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Dividend Yield Spread) พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.32% และอัตราปันผลเฉลี่ย 8.79% สูงกว่า REITs ภูมิภาคอื่นๆ เราประเมินว่าปัจจัยหนุนต่างๆ ที่กล่าวมาจะเอื้อต่อภาวการณ์ลงทุน REITs ไทย อีกทั้ง Sentiment ตลาดหุ้นไทยที่ดูดีขึ้น เป็นอีกแรงหนุนต่อ REITs ไทย
Global Healthcare: เราประเมินว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นมีโอกาสเข้าสู่ภาวะ Sector Rotation หลังดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นแรงและเข้าสู่โซนมูลค่าตึงตัว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Growth และเทคโนโลยี ที่มี Valuation สูง ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาไม่ได้โดดเด่นเท่าช่วงไตรมาส 2 ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มปรับพอร์ตจากหุ้นเติบโตไปสู่ หุ้นคุณค่า (Value) ที่มีมูลค่าน่าสนใจมากกว่า เราพบสัญญาณการหมุนเงินที่ชัดเจนขึ้น โดยกลุ่ม Healthcare เริ่มกลับมา Outperform ขณะที่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แสดงสัญญาณอ่อนแรงลง เรายังคงมีมุมมองบวกต่อกลุ่ม Global Healthcare เนื่องจาก Valuation ถูก ราคายัง Laggard และความชัดเจนในประเด็นภาษีนำเข้ายาช่วยหนุน Sentiment ไปต่อ