Keyword
PDF Available  
เคาะซื้อ Weekly strategy

เคาะซื้อ Weekly Strategy: สหรัฐฯ จีนปะทะรอบใหม่-เฟดพยุง จับจังหวะลงทุนกองภาษี (20 - 24 October 2025)

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|16 Oct 25 10:40 AM
สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 20 - 24 ตุลาคม 2025
 
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์

ตราสารทุน

สัปดาห์หน้า คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังคงผันผวนตามความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ปะทุขึ้น ในขณะที่เฟดประกาศใกล้ยุติ QT จะยังคงช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ในขณะที่ผลประกอบการกลุ่มธนาคารที่ดีกว่าคาดมีโอกาสส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯที่เริ่มเข้าสู่ Earning Season ด้านตลาดจีนยังคงมีแนวโน้มผันผวนตามสถานการณ์ความขัดแย้งกับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่ารัฐบาลจีนอาจมีการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหากสถานการณ์มีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนที่ยังมี Valuation ไม่แพงยังคงมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน ด้านตลาดหุ้นยุโรปเราประเมิน Valuation ที่ยังสมเหตุสมผล ในขณะที่คาดการณ์การเติบโตของ EPS เร่งตัวขึ้นยังคงในปีหน้าเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปยังคงมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน


ตราสารหนี้

ตราสารหนี้มีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากเฟดที่ส่งสัญญาณยุติการทำ QT มีโอกาสหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม เฟดที่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อสหรัฐฯและเศรษฐกิจที่ยังขยายตัว รวมถึงมีความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลทางการคลัง จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัด โดยภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด


 สินทรัพย์ทางเลือก
 
โมเมนตัมราคาทองคำยังคงแข็งแกร่ง ภายใต้สภาพแวดล้อมการลงทุนที่เอื้ออำนวยจากความตึงเครียดทางการค้าที่กลับมาปะทุอีกครั้ง ความหวังลดดอกเบี้ยของเฟด และสัญญาณใกล้ยุติการทำ QT เราประเมินว่าปัจจัยเหล่านี้จะยังเป็นแรงหนุนโมเมนตัมต่อราคาทองคำต่อได้ในระยะสั้น นักลงทุนที่ถืออยู่สามารถถือต่อได้ ขณะที่ผู้ที่ยังไม่มีสถานะควรรอจังหวะสะสมเมื่อราคาย่อตัว แทนการไล่ราคาในช่วงที่ราคาปรับขึ้นเร็ว
 
ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลายเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ REITs ไทยที่ยังคง Laggard เมื่อเทียบกับ SET Index มีความน่าสนใจ และดึงดูดเม็ดเงินของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดได้
[Theme Play] 
 
China Technology: ความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ สร้างความผันผวนให้กับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในระยะสั้น อย่างไรก็ตามในระยะกลางถึงยาวหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนยังคงมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการลงทุนในธุรกิจ AI ของภาคเอกชน รวมถึงรัฐบาลจีนที่มีนโยบายสนับสนุนบริษัทเอกชนและเป็นมิตรกับบริษัทเทคโนโลยีจีนมากขึ้น หนุนบริษัทในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง ด้าน Valuation ของกลุ่มเทคโนโลยีจีนยังคงใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยราว 24 เท่า แต่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีกว่าใน 1-2 ปีข้างหน้า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นจึงมีโอกาสให้หุ้นเทคโนโลยีของจีนสามารถซื้อขายบน PE ที่สูงกว่าได้

Europe Equity:
เศรษฐกิจของยุโรปที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภายในภูมิภาค คาดว่าจะหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 ให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 และคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2027 ในขณะที่การเมืองฝรั่งเศสมีโอกาสคลี่คลายลงหลังรัฐบาลยุติการปฏิรูปกองทุนบำนาญไว้ชั่วคราว มีแนวโน้มช่วยผ่อนคลายความกังวลของตลาดทุน ในขณะที่ STOXX 600 ยังคงมีระดับ Forward PE ที่สมเหตุสมผล ช่วยหนุนให้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อในช่วงที่ EPS เร่งตัวขึ้น

China A-Shares:
หุ้นจีน A-Shares มีความผันผวนในระยะสั้นจากความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯที่สร้างความไม่แน่นอนเข้ามาในตลาด อย่างไรก็ตามเราประเมินว่าหากราคาปรับตัวลดลงเป็นโอกาสเข้าสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว เนื่องจากรัฐบาลจีนยังคงมีแนวโน้มใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหากสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น มีแนวโน้มช่วยจำกัด downside risk ของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของจีน ขณะเดียวกัน Valuation อยู่ในระดับไม่ตึงตัวมาก ในขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 

 
[Event Play]
 
TH Equity: สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตามทิศทางตลาดโลก จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีนที่กลับมาปะทุอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าผลกระทบรอบนี้ต่อหุ้นไทยยังอยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากความขัดแย้งหลักจำกัดอยู่ระหว่างสองประเทศ ขณะเดียวกัน ตลาดยังรอรับแรงหนุนจากปัจจัยเฉพาะจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้แก่ โครงการ “คนละครึ่งพลัส” และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษี รวมถึงแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. หลังผู้ว่าการ ธปท. คุณวิทัย ส่งสัญญาณพร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อพยุงเศรษฐกิจ เรามองว่าปัจจัยเหล่านี้จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อภาพรวมตลาดในระยะข้างหน้า โดยยังคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นไทยดัชนี SET Well-being (SETWB) ซึ่งคาดว่าจะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยว
 
TH REITs : REITs ไทยยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของเฟด และจากแรงหนุนที่ ธปท. เข้าสู่วัฏจักรการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย หลังเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย  อีกทั้ง REITs ไทยมีส่วนต่างปันผลกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Dividend Yield Spread) พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.32% และอัตราปันผลเฉลี่ย 8.79% สูงกว่า REITs ภูมิภาคอื่นๆ เราประเมินว่าปัจจัยหนุนต่างๆ ที่กล่าวมาจะเอื้อต่อภาวการณ์ลงทุน REITs ไทย อีกทั้ง Sentiment ตลาดหุ้นไทยที่ดูดีขึ้น เป็นอีกแรงหนุนต่อ REITs ไทย

Global Healthcare: ความกังวลเรื่องภาษีนำเข้ายาของสหรัฐฯ ที่คลี่คลายหลังดีลระหว่าง Pfizer–Trump ส่งผลให้ Sentiment ต่อหุ้นกลุ่ม Healthcare ฟื้นตัวต่อเนื่อง หนุนมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มและลดความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีในระยะสั้น ในเชิงกลยุทธ์ เรามองว่าความชัดเจนด้านภาษีและโครงสร้างราคายาที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนต่อ Momentum ของกลุ่ม Healthcare ให้ฟื้นตัวต่อไป ขณะเดียวกัน Valuation ของกลุ่มยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และมีโอกาสได้รับแรงหนุนจากกระแส sector rotation โดยเฉพาะในช่วงที่ดัชนี S&P 500 เข้าสู่ระดับมูลค่าที่ตึงตัว
Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5