เคาะซื้อ Weekly strategy

[เคาะซื้อฉบับพิเศษ] Update โอกาสในการปรับพอร์ตลงทุน (10 เม.ย. 68)

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|10 Apr 25 8:30 AM
เคาะซื้อ_Materials and Template
สรุปสาระสำคัญ

เมื่อคืน ปธน.ทรัมป์ ประกาศช็อคโลกอีกครั้งด้วยการหยุดเก็บภาษีตอบโต้ชั่วคราว 90 วัน โดยจะเก็บภาษีเพียง 10% ในช่วงเวลาดังกล่าวสำหรับประเทศที่ไม่ตอบโต้ ยกเว้นจีนที่จะขึ้นภาษีเป็น 125% และเม็กซิโก แคนาดา ที่คงไว้ 25% ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณเชียร์ซื้อหุ้น (ทำให้มีฝ่ายตรงข้ามกำลังเดินหน้าฟ้องเรื่อง Insider trading) ขณะที่ EU ได้อนุมัติมาตรการภาษีตอบโต้กับ US ชุดแรก มีผล 15 เม.ย.68 ทั้งนี้ Bill Gross นักลงทุนตราสารหนี้ในตำนานของโลกให้ความเห็นว่าตลาดเราตอนนี้จะเชื่อกับ Trump’s morning mood จริงๆ หรือ แม้ว่าพอร์ตหุ้น defensive ของเค้าจะเป็นสีเขียวก็ตาม

ความเห็นและมุมมองรายสินทรัพย์ (10 เม.ย.68)
สิ่งที่ทรัมป์ประกาศคือการหยุดเก็บภาษีชั่วคราว 90 วัน ไม่ใช่ถาวร นั่นหมายถึงยังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ตลอด แต่ก็เป็นการยืนยันเจตนาว่าทรัมป์ต้องการใช้ภาษีเพื่อต่อรอง และความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูงในช่วง 1-2 ไตรมาสนี้ ซึ่งหากยังไม่สามารถบรรลุดีลที่ต้องการได้ next step ทรัมป์อาจใช้เรื่อง “ค่าเงิน” มาต่อรอง

แท้จริงแล้วทรัมป์ยังมีเวลาอีกพักใหญ่ในการจัดระเบียบโลกใหม่ตามใจตน ก่อนที่จะกลับมาเรียกคะแนนเสียงอีกครั้ง ก่อน Mid-term elections ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย.69 ดังนั้น เราประเมินว่าจังหวะหุ้นดีดแรงเมื่อคืนนี้เป็นโอกาสดีในการปรับพอร์ตลงทุนให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น โดยมี update จากกลยุทธ์การลงทุนเมื่อวันที่ 8 เม.ย.68 ดังนี้

ตราสารหนี้และทองคำ: คงคำแนะนำกระจายการลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อป้องกันความเสี่ยงพอร์ตลงทุน โดยเน้นตราสารหนี้โลกและตราสารหนี้ไทย โดย duration ไม่ยาวมากคือราว 2-4 ปี

หุ้นโลก: ทยอยสะสมเช่นเดิม ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้อิง Core portfolio ที่เราแนะนำ

หุ้นสหรัฐ: ทยอยปรับพอร์ตโดย switch เข้ากลุ่ม defensive มากขึ้น อิง Utilities, Consumer Staples และ Healthcare

หุ้นจีน: ค่อยๆ ทยอยสะสม A-Shares เช่นเดิมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน การหันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน และภูมิคุ้มกันสงครามการค้าที่จีนทยอยสร้างมาตลอด 10 ปี รวมถึง valuation ที่ยังไม่แพง

หุ้นเทคจีน: หาจังหวะสะสมเช่นเดิม โดยเทคจีนพัฒนาไปมากและในภาพรวมมีรายได้จาก US น้อยกว่า 5% จึงรับผลกระทบจำกัดหากสงครามการค้ายกระดับ ในขณะที่บริษัทยังมีโอกาสขยายไปยังตลาดโลกมากขึ้น

หุ้นอินเดีย: ทยอยลงทุนระยะยาวเช่นเดิม จากที่อินเดียไม่ได้พึ่งพา Global Trade มาก และประชากรที่เยอะหนุนการบริโภคภายในประเทศ

หุ้นเวียดนาม: สถานการณ์ดีขึ้น แต่ในระยะกลางเวียดนามยังมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากพึ่งพาการส่งออกเกือบ 100% ของ GDP โดยอาจหาจังหวะที่หุ้นดีดในช่วงนี้ switch เข้าหุ้นอินเดียที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงคล้ายกัน เพื่อลดความเสี่ยงในช่วง 90 วันข้างหน้าที่ทรัมป์อาจกลับมาเก็บภาษีตอบโต้ใหม่

หุ้นญี่ปุ่น: ทยอยสะสมเช่นเดิม จากเศรษฐกิจที่พลิกเป็นขาขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และประเด็น corporate reform

หุ้นยุโรป: ในภาพรวมยังมี valuation ถูกกว่าหุ้นสหรัฐฯ และมีประเด็น structural change จากเยอรมนี แต่ในระยะสั้นแนะชะลอการลงทุนจากการที่ EU ออกภาษีตอบโต้กับทรัมป์ชุดแรก ทำให้มีความเสี่ยงที่จะโดนโต้กลับ

หุ้นไทย: ยังคงมุมมองถือลงทุนโดยเน้นหุ้นปันผลได้เช่นเดิม จากทั้งเงิน ESGx ที่จะช่วยพยุงตลาดในช่วงไตรมาสสอง และมาตรการหนุนตลาดทุนจากภาครัฐ

Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Senior Vice President

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5