ภาวะเศรษฐกิจไทยที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง ส่งผลให้ ธปท. มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาตั้งแต่ต้นปี และคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกในการประชุมที่เหลือของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองว่าระดับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทย(Bond Yield) ที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา ได้รับรู้ปัจจัยบวกจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท.ล่วงหน้าไปแล้วส่วนใหญ่ จึงทำให้ Upside จากส่วนต่างราคาตราสารหนี้ (Capital Gain) ระยะข้างหน้าของการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ค่อนข้างจำกัด
ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนได้มีการขายทำกำไรจากกองทุนตราสารหนี้บางส่วน จากระดับราคา (NAV) ที่มีการปรับตัวขึ้นไปตั้งแต่ต้นปี จึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.1-0.3% และส่งผลให้ราคา (NAV) ปรับตัวลง และมีความผันผวนสูงขึ้นในระยะสั้น ดังภาพที่ 1 และภาพที่ 2 ด้านล่าง
Source: ThaiBMA as of 16 September 2025
Source: Bloomberg as of 16 September 2025
คำแนะนำการลงทุนกองทุนตราสารหนี้
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการปกป้องเงินต้นและไม่สามารถรับความผันผวนได้ เราแนะนำให้ถือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุตราสารน้อยกว่า 3 เดือน ได้แก่ กองทุน KFSPLUS-A และ SCBSFFPLUS-I
Krungsri Star Plus Fund-A [KFSPLUS-A]
SCB Short Term Fixed Income Plus Fund (CLASS I) [SCBSFFPLUS-I]
สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงและถือข้ามความผันผวนในระยะสั้นได้ เรายังคงแนะนำถือกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง (ควรถือครองอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป) เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยกองทุนที่เราแนะนำ ได้แก่ กองทุน KFAFIX-A และ K-PLAN1
Krungsri Active Fixed Income Fund-A [KFAFIX-A]
K PLAN 1 Fund [K-PLAN1]
ภาพที่ 3: กองทุนตราสารหนี้แนะนำตามระยะเวลาการถือครอง
Source: AMCs as of 31 July 2025; Morningstar as of 12 September 2025 | Disclaimer: The Credit Rating percentages presented herein are aggregated from local, national, and international credit rating sources.
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่บล.อินโนเวสท์ เอกซ์