สรุปสาระสำคัญ
กลุ่ม Retail เผยงบเป็นภาพผสม โดยรวมฉายภาพดังนี้ 1) ผู้บริโภคในสหรัฐฯ โดยรวมยังแข็งแกร่ง แต่เน้นใช้จ่ายในสินค้าราคาถูกหรือมีความคุ้มค่า และหลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ 2) เริ่มเห็นผลกระทบของภาษีนำเข้าที่กดดันอัตรากำไรของกลุ่ม
- ในไตรมาสที่ 3 ตลาดค้าปลีกมีแนวโน้มจะเผชิญกับผลกระทบจากภาษีนำเข้า ซึ่งอาจทำให้การแข่งขันด้านราคาเข้มข้นขึ้น ดังนั้นบริษัทที่จะโดดเด่นและรับมือได้ดีที่สุดคือบริษัทที่สามารถควบคุมต้นทุนและรักษาฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เราชอบ WMT ที่สุดในกลุ่ม จาก 1) อัตรากำไรยังขยายตัว แม้ต้นทุนสูงขึ้น 2) ฐานลูกค้าแข็งแกร่งขยายตัวต่อเนื่อง 3) เป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกของโลก ทำให้ Walmart มีภูมิคุ้มกันในการแข่งขันระยะข้างหน้าได้ดี 4) ธุรกิจ E-commerce เติบโตเด่น
- Valuation ของ WMT ถือว่าสูงกว่าอุตสาหกรรม และค่าเฉลี่ยในอดีต 5 ปี ด้วยภาพนี้เราแนะนำให้ลงทุนเมื่อราคาหุ้นย่อตัว
- แนวรับ 95.80 – 94.00, แนวต้าน 100.00 – 102.0, Cut loss หากต่ำกว่า 91.8
กลุ่ม Retail เผยงบเป็นภาพผสม โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- Walmart (WMT) เผยงบเป็นภาพผสม ยอดขายสาขาเดิมโต 4.6% ดีกว่าคาด ในขณะที่กำไรต่ำกว่าคาด เนื่องจากค่าใช้จ่ายพิเศษจากคดีความและการปรับโครงสร้างองค์กร อย่างไรก็ดี ธุรกิจ E-commerce โตถึง 25% และบริษัทได้ปรับเพิ่มยอดขายขึ้น 3.75% ถึง 4.75% และกำไรต่อหุ้นจะอยู่ที่ $2.52 ถึง $2.62 โดยบริษัทคาดผลกระทบจากต้นทุนขายที่สูงขึ้นต่ออัตรากำไรจะน้อยกว่าที่เคยคาดไว้Target (TGT) เผยยอดขายลดลง 0.9% YoY กำไรลดลง 21.5% YoY แต่ดีกว่าคาดเล็กน้อย อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 29% จาก 30% ในปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนลดสินค้าที่มากขึ้นและต้นทุนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างองค์กร
- Home Depot (HD) เผยรายได้และกำไรต่อหุ้นในไตรมาสที่ 2 ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย โดยลูกค้าชะลอการทำโครงการขนาดใหญ่จากต้นทุนที่สูงขึ้นในหลาย ๆ ด้าน อย่างไรก็ดี ยอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้นเป็นบวกได้ที่ 1% YoY เป็นไตรมาสที่ 2 ในรอบ 11 ไตรมาส แม้งบโดยรวมจะพลาดเป้า แต่ราคาหุ้นสูงขึ้นจากความคาดหวังต่ำและการยืนยันเป้าหมายกำไรสำหรับทั้งปี รวมไปถึง Yield ที่ลดลง
- Lowe’s (LOW) รายงานรายได้โต 1.6% YoY ตามคาด ด้านกำไรโต 2.5% YoY ดีกว่าคาด ด้านยอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้น 1.1% YoY หนุนโดยลูกค้ากลุ่ม Pro แต่ฝ่ายบริหารยังคงระมัดระวัง โดยระบุว่าการเติบโตนี้มาจากสภาพอากาศที่ดีขึ้น และยังเร็วเกินไปที่จะเรียกว่าเป็นแนวโน้มที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังปรับประมาณการกำไรลงเล็กน้อย ซึ่งต่างกับ Home Depot อย่างชัดเจน
- TJX (TJX) เผยรายได้โต 6.9% YoY และกำไรโต 13.1% YoY สูงกว่าที่คาด โดยยอดขายเติบโตในทุกธุรกิจหลัก หนุนโดยความต้องการสินค้าลดราคา ในช่วงที่มีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ บริษัทเพิ่มเป้าหมายกำไรทั้งปีขึ้นเป็น 4.52-4.57 ดอลลาร์ จากเดิมที่ 4.34-4.43 ดอลลาร์ และคาดว่ายอดขายสาขาเดิมจะเติบโต 3% ตลอดทั้งปี
- Ross Stores (ROST) เผยงบเป็นภาพผสม ยอดขายต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แต่กำไรสูงกว่าคาด ยอดขายสาขาเดิมเติบโต 2% นอกจากนี้ บริษัทกลับมาให้แนวโน้มผลประกอบการทั้งปี โดยคาดการณ์กำไรสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก อย่างไรก็ดี คาดการณ์กำไรในไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาด เนื่องจากมีปัจจัยมหภาคที่ไม่แน่นอน รวมไปถึงต้นทุนที่สูงขึ้นที่เริ่มแสดงให้เห็นในไตรมาสนี้
จากผลประกอบการกลุ่มค้าปลีกดังกล่าว สะท้อนภาพที่ไปในในทิศทางเดียวกัน 2 ประเด็น ได้แก่
1.ชาวอเมริกันยังใช้จ่ายอยู่ แต่เน้นใช้จ่ายในสินค้าราคาถูกหรือมองหาความคุ้มค่ามากขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านยอดขายกลุ่มสินค้าราคาถูกเติบโตดี ในขณะเดียวกันผู้บริโภคหลีกเลี่ยงใช้จ่ายในสินค้าชิ้นใหญ่
2.เริ่มเห็นผลกระทบจากอัตราภาษีนำเข้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนบริษัท ทำให้อัตรากำไรถูกกดดัน
แนวโน้มการแข่งขันในอนาคต
เราประเมินว่าในไตรมาสสามจะเห็นผลกระทบที่แท้จริงของภาษีนำเข้าต่อต้นทุนของกลุ่มค้าปลีก โดยเรามองการแข่งขันในระยะข้างหน้าอาจมีการแข่งขันทางด้านราคามากขึ้น ด้วยเหตุนี้ บริษัทใดที่มีการบริหารหรือควบคุมต้นทุนและการรักษาฐานลูกค้าที่ดี จะโดดเด่นที่สุดในอตุฯ