Energy at play - OR TOP มีปัจจัยเฉพาะตัว / โอกาสสะสมโรงไฟฟ้า

ภูมิรัฐศาสตร์มีบทบาทต่อตลาดพลังงานอีกครั้ง เลือกลงทุนธุรกิจที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว

การเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครนมีความคืบหน้า ฝั่งสหรัฐฯ เผยว่าคืบหน้ากว่า 90% โดยมีการพิจารณาในหลายประเด็น เช่น ยูเครนล้มเลิกการเข้าร่วม NATO แลกกับหลักประกันความมั่นคงคล้ายมาตรา 5 ของ NATO และแนวทางการลงทุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่คงมีประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อสรุป เช่น การสูญเสียดินแดน (CNN) ส่วน ปธน. สหรัฐฯ ได้ปิดกั้นการเดินเรือบรรทุกน้ำมันเข้าเวเนซุเอลาเพื่อกดดันรัฐบาล (Platts)

มองเป็น Sentiment เชิงลบต่อราคาน้ำมัน หากการเจรจาสันติภาพสามารถหาข้อสรุปได้ ซ้ำเติมตลาดน้ำมันที่จะเผชิญภาวะอุปทานล้นเกินในปี 2026 (Figure 2) สร้างความคาดหวังอุปทานน้ำมันเพิ่มเติมจากรัสเซียจะเข้าสู่ตลาดโลกบนความเป็นไปได้ที่ชาติตะวันตกจะผ่อนคลายการคว่ำบาตร ขณะที่การผลิตน้ำมันรัสเซียคาดจะทยอยฟื้นฟู ทั้งนี้การผลิตน้ำมันดิบรัสเซียเคยทำระดับสูงสุดที่ 10.69MBD ใน ก.พ. 2023 แต่ใน ส.ค. 2025 ลดลง 8.5% เหลือ 9.78MBD หรือคิดเป็น 9.2% ของอุปทานโลก (Figure 3) เป็นบวกต่อธุรกิจค้าปลีกน้ำมันตามราคาหน้าโรงกลั่นที่ลดลงและค่าการตลาดที่สูงขึ้น (Figure 4) และเข้าสู่ช่วงสิ้นปีที่ปริมาณการบริโภคน้ำมันจะสูงตามฤดูกาล สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ เชิงกลยุทธ์ เก็งกำไรระยะสั้น OR

อย่างไรก็ตามประเมินโรงกลั่นรัสเซียจะไม่สามารถเพิ่มการผลิตได้ในทันทีเนื่องจากขาดเงินทุนตามรายได้ส่งออกพลังงานที่ลดลงและเทคโนโลยีทันสมัย โดยรัสเซียได้ขยายระยะเวลาระงับการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปถึง ก.พ. 2026 (Reuters) และประเมินการปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันเวเนซุเอลามีผลกระทบต่อโรงกลั่นจีนจำกัด เนื่องจากจีนนำเข้าน้ำมันดิบเวเนซุเอลาเพียง 4% ของการนำเข้าทั้งหมด (Reuters) และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร (Platts) เชิงกลยุทธ์ เลือกเก็งกำไรธุรกิจโรงกลั่นที่มีสัดส่วนการผลิตน้ำมันอากาศยานและดีเซลสูง ซึ่งมีปัจจัยฤดูกาลหนุน, สต็อกอยู่ในระดับต่ำ และได้ประโยชน์จากต้นทุนน้ำมันดิบที่ลดลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ เลือก TOP ที่มีสัดส่วนการผลิตน้ำมันอากาศยานสูง ติดตามความคืบหน้าการเจรจาสันติภาพ, สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอลา และการหยุดการเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบชั่วคราวของ OPEC+ ใน 1Q26

การยุบสภา-ภูมิรัฐศาสตร์กดดันราคาระยะสั้น แต่พื้นฐานยังแกร่ง เป็นโอกาสะสมโรงไฟฟ้า

นายกฯ ได้ยื่นยุบสภาและมีผลในวันที่ 12 ธ.ค. 2025 ทำให้โครงการที่มีภาระผูกพันต่อรัฐบาลชุดใหม่ชะงัก ซึ่งรวมถึงโครงการโซลาร์ชุมชน 1,500MW ที่อยู่ระหว่างรอการประกาศการรับซื้ออย่างเป็นทางการ, โครงการ Direct PPA 2,000MW ที่อยู่ระหว่างกระบวนการออกกฎหมาย และการจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ที่อยู่ระหว่างการจัดทำ (ประชาชาติธุรกิจ)

ในระยะสั้นมองเป็นปัจจัย Overhang ต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า ประกอบกับในสัปดาห์ก่อนราคาหุ้นโรงไฟฟ้าเผชิญแรงขายจากความกังวลระยะสั้นต่อต้นทุนเชื้อเพลิงที่อาจปรับขึ้นจากประเด็นสหรัฐฯ-เวเนซุเอลา อย่างไรก็ตามคาดว่ารายละเอียดของโครงการต่างๆ จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากมีความสอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน เช่น กระแสการลงทุน Data Center ที่ต้องการ RE สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero 2050 และมองต้นทุนเชื้อเพลิงคงมีแนวโน้มลดลงตามอุปทาน LNG ที่จะสูงขึ้นจากการส่งออกของสหรัฐฯ (Figure 5) โดยราคา Pool Gas ใน พ.ย. 2025 ลดลง 2.5%MoM และ 11.3%YoY สู่ 263.49 บาท/MMBtu (Figure 6) และราคา LNG ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 19 เดือน (Figure 7) มองเป็นโอกาสสะสมหุ้นโรงไฟฟ้า เชิงพื้นฐาน สะสม GULF ที่มีการกระจายความเสี่ยงเชิงธุรกิจสูง เชิงกลยุทธ์ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ เก็งกำไร BGRIM และ GPSC ที่ SPP Margin มีแนวโน้มกว้างขึ้นจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลงเร็วกว่าค่าไฟฟ้า ติดตามสภาพอากาศหนาวในยุโรปที่อาจหนุนราคาเชื้อเพลิง ท่ามกลางปริมาณก๊าซฯ สำรองยุโรปที่ลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 68.2% (Figure 8)

ความเสี่ยง: เศรษฐกิจโลกผันผวน, การเมืองสหรัฐฯ, สถานการณ์ตะวันออกกลาง, การเมืองในประเทศ, นโยบายพลังงานสหรัฐฯ และไทย, รัสเซีย-ยูเครน, นโยบายการผลิตของ OPEC+