- ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นได้ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯและเวียดนามปิดทำการในช่วงวานนี้ ด้านตลาดหุ้นฮ่องกงกลับมาเปิดทำการอีกครั้งหลังจากหยุดทำการไปในช่วงวันศุกร์และสามารถปิดตัวในแดนบวกได้หนุนจากภาพความหวังต่อการฟื้นตัวของจีนหลังทางการมีการเผยนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจต่อเนื่อง
-
- กระแสเงินในวันที่ 1 ก.ย. 2023 1) กระแสเงินในตราสารหนี้ค่อนข้างผันผวน โดยล่าสุดมีเงินไหลเข้า โดยเฉพาะตราสารหนี้คุณภาพดีและพันธบัตรรัฐบาล ทั้งนี้มองว่าเป็นการคลายความกังวลต่อท่าทีของ FED 2) มีแรงซื้อในหุ้นเชิงรับอย่างกลุ่ม Utilities, Healthcare แต่ปริมาณเงินไม่สูงมากนัก 3) กระแสเงินในกลุ่มเทคโนโลยีผันผวน โดยล่าสุดเป็นแรงขายหลังราคาปรับเพิ่มขึ้นแรง เช่นเดียวกับหุ้นธีม Growth 4) มีแรงเก็งกำไรในตลาดหุ้นจีนตามการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ทำให้มีแรงซื้อในราคาสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย 5) มีแรงขายในหุ้นขนาดเล็กจากผลกระทบของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงแต่ภาพรวมกระแสเงินค่อนข้างผันผวน
-
- Russia-Ukraine ไม่มีพัฒนาการเชิงบวก ด้านราคาถ่านหินในยุโรปลดลง 0.7% ราคาก๊าซธรรมชาติลดลง 5.9% ส่วนต่างดอกเบี้ยของกลุ่ม IG ทั่วโลกปรับตัวลดลง 1bps ส่วนตราสาร HY ปรับลดลง 3bps ขณะที่ตลาดหุ้นจีนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม Reopening ในจีนยังค่อนข้างผันผวน โดยล่าสุดปรับเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากจีนประกาศมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์และลดภาษีในการซื้อขายหุ้น โดยทุกกลุ่มสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น กลุ่มสวนสนุกและกลุ่มท่องเที่ยวปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 1%
-
- ยอดขาย Semiconductor ทั่วโลกในเดือน ก.ค. ปรับตัวลดลง 15% YoY น้อยที่สุดตั้งแต่ ธ.ค. 2022 และลดลง 1% MoM ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตในช่วงเดือน ส.ค. ที่ลดลง 7% MoM บ่งชี้ว่ายอดขาย Semiconductor เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างช้า ทั้งนี้อาจจะรอการระบายสินค้าของจีนที่ยังไม่จบแต่ดีขึ้น ดังนั้นการลงทุนเรายังมองว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเราเลือกบริษัทที่ราคาหุ้นยังไม่ปรับขึ้นแรงแต่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีใน 4Q23 อย่าง TSMC, AMD, INTC
-
- กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าจีนเผยยอดส่งมอบในเดือนส.ค.ที่เพิ่มขึ้นหลังมีการลดราคาเพื่อแข่งขันกัน โดย Tesla Inc. ได้ส่งมอบรถยนต์เพิ่มขึ้น 31%MoM และเพิ่มขึ้น 9.3%YoY ด้าน Peers ในจีนเผยยอดส่งมอบแกร่งเช่นกัน โดย Li Auto เพิ่มขึ้น 664%YoY ด้าน NIO เพิ่มขึ้น 81%YoY ขณะที่ Xpeng เพิ่มขึ้น 34%YoY ซึ่งเป็นภาพที่คล้ายกันหลังมีอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับลดราคาขายลง ขณะที่ล่าสุดการปรับลดราคาขายของบริษัทรถ EV ยังมีต่อเนื่อง ด้วยภาพนี้จึงทำให้การแข่งขันในกลุ่ม EV ยังคงดุเดือดอยู่ ซึ่งหากใครต้องการลงทุนเรามองว่าหากรับความเสี่ยงดังกล่าวได้ก็สามารถลงทุนได้เช่นกัน โดยเน้นไปที่กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบทางการเงินที่ค่อนข้างจำกัดอย่าง BYD หรือ Tesla มากกว่ากลุ่มรถยนต์ขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เราจึงยังคงแนะหลีกเลี่ยงกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็กไปก่อนในช่วงนี้
|