ตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในแดนลบ -0.1% หลังภาพรวมเศรษฐกิจยังอยู่ในทิศทางค่อนข้างผสม โดยเศรษฐกิจยุโรปและจีนยังอ่อนแอกดดันภาพรวมการฟื้นตัวของตลาดหุ้น ขณะที่ตลาดสหรัฐฯปิดทำการในช่วงคืนวานนี้ทำให้ไม่มีปัจจัยสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของตลาดโลกหลังเศรษฐกิจสหรัฐฯมีภาพที่แกร่งกว่าคาดและมีแรงหนุนจากกลุ่มเทคฯที่มีภาพการฟื้นตัวจาก AI กระแสเงินในวันที่ 11 ม.ค. 2024 1) กระแสเงินในตราสารหนี้ผันผวน มีแรงซื้อในตราสารหนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้คุณภาพดี ระยะสั้นและองค์กรจากความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ย 2) มีแรงซื้อกลับในกลุ่มเทคโนโลยีหลังเผชิญแรงขายทำกำไรแต่มีภาพการฟื้นตัวที่ชัดเจนและมีข่าว AI ต่อเนื่อง 3) มีแรงซื้อในตลาดหุ้นญี่ปุ่นจากแนวโน้มค่าเงินเยนและผลประกอบการที่ดีจากค่าเงินที่อ่อนค่า 4) มีแรงซื้อเก็งกำไรในกลุ่มการเงินในช่วงผลประกอบการกลุ่มธนาคาร 5) มีแรงขายในตลาดหุ้นจีนหลังตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนแอสร้างความกังวลต่อการฟื้นตัวต่อเนื่อง 6) มีแรงขายในโลหะมีค่าจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ ราคาสินค้าในจีนหลายอุตฯนับตั้งแต่ยานพาหนะไฟฟ้าไปจนถึงฟาสต์ฟู้ดดูเหมือนจะลดลงต่อเนื่องถึงแม้ความต้องการของผู้บริโภคที่ซบเซา รวมถึงอีคอมเมิซใหญ่ของจีนอย่าง PDD Holdings Alibaba และ JD.com Inc. และกลุ่มเครื่องแต่งกายกีฬา Li Ning, Anta Sports ประกอบกับบริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจในจีนก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน อย่าง Apple และ Burberry นอกจากนี้ด้วยภาพ 1) เศรษฐกิจที่ยังคงมีแรงกดดันจากหลายปัจจัยทำให้เรามองว่าอุปสงค์ของผู้บริโภคไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแม้จะมีการกระตุ้น 2) การปรับลดราคาขายที่กดดันการขยายตัวของมาร์จิ้น ด้วยภาพนี้ทำให้เราค่อนข้างกังวลต่อผลประกอบการของบริษัทจีนใน 4Q23 – 1Q23 ที่จะยังได้รับผลกระทบในภาพรวม ราคาหุ้นบริษัท IT ใหญ่ในอินเดียอย่าง Tata Consultancy Services และ Infosys พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ส่งสัญญาณการฟื้นตัวของการใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีทั่วโลกในช่วงปี 2024 หนุนจากการใช้จ่ายในโครงการที่ขับเคลื่อนด้วย AI และบริการซอฟต์แวร์ที่ช่วยลดต้นทุนที่เพิ่มขึ้นช่วยหนุนการฟื้นตัวได้ ภาพค่าใช้จ่าย IT ที่เพิ่มจะยังคงช่วยหนุนการฟื้นตัวกลุ่มเทคฯอย่าง AMZN GOOGL MSFT ในปี 2024 ได้ ถึงแม้ว่าการเติบโตจะไม่ได้เพิ่มขึ้นรุนแรง แต่ Downside ค่อนข้างน้อย ทำให้เรามองว่าอาจเข้าสะสมในช่วงที่ราคาย่อตัวลง พร้อมคาดหวังการฟื้นตัวปี 24 Microsoft กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลกแซง Apple ซึ่งเรามองว่าเป็นผลมาจากความสำคัญและความคาดหวังจาก Artificial Intelligence ซึ่งสอดคล้องกับการปรับเพิ่มขึ้นของผู้ผลิตชิป AI อย่าง Nvidia ที่ราคาเพิ่มขึ้น 240% ทั้งนี้มองว่า 1) MSFT มีสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่มีอัตราการเติบโตที่มากกว่า 2) ธุรกิจ Personal Computer อยู่ในช่วงการฟื้นตัวในขณะที่ Smartphone มีการเติบโตที่จำกัด 3) AAPL ได้รับผลกระทบจากจีนค่อนข้างมาก 4) MSFT มีความโดดเด่นในเชิงนวัตกรรมมากกว่า และ 5) AAPL อาจจะเผชิญกับปัญหาสินค้าคงค้าง |