- ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น ด้านสหรัฐฯมีแรงหนุนจากกลุ่มธนาคารที่งบออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ตัวเลขค้าปลีกยังออกมาซบเซาทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า Fed ใกล้จะยุติวงจรการปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ทางฝั่งจีนยังคงมีแรงกดดันจากการถูกปรับลดประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจทั้งปี 23 ลงจาห JPM และ Citi
-
- กระแสเงินในวันที่ 14 ก.ค. 2023 1) ตลาดกลับมาขายตราสารหนี้ค่อนข้างมากทั้งนี้มองเป็นการลดความเสี่ยงการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงปลายเดือน ก.ค. และคิดว่ายังไม่ปรับลดดอกเบี้ย 2) มีแรงซื้อในกลุ่มเทคโนโลยีแต่ปริมาณเงินไม่สูงมากนัก กระแสเงินค่อนข้างผันผวนบ่งชี้ว่ากระแสเงินมีลักษณะเก็งกำไร 3) มีแรงซื้อในกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจอย่างการเงินและสินค้าอุตสาหกรรมมากขึ้นแม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจชะลอตัวลงก็ตาม 4) กลุ่มเชิงรับอย่าง Healthcare และ Consumer Staples มีแรงขาย 5) หุ้นขนาดเล็กมีแรงขายจากความกังวลต่อการเติบโตท่ามกลางภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและกังวลกับการใช้จ่ายของผู้บริโภค
-
- Russia-Ukraine ไม่มีพัฒนาการเชิงบวก ด้านราคาถ่านหินในยุโรปเพิ่มขึ้น 7.8% ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 8.2% ส่วนต่างดอกเบี้ยของกลุ่ม IG ทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 1bps ส่วนตราสาร HY ปรับเพิ่มขึ้น 4bps ขณะที่ตลาดหุ้นจีนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม Reopening ในจีนยังค่อนข้างผันผวน โดยล่าสุดปรับลดลง 0.6% จากความกังวลเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ค่อนข้างน้อย
-
- Microsoft +3.9% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $359.49 หลังจากที่บริษัทประกาศราคาสำหรับบริการสมัครสมาชิก AI ใหม่ 1) บริการสมัครสมาชิก Copilot ของ Microsoft เพิ่ม AI ให้กับผลิตภัณฑ์ Office โดยจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม $30 ต่อเดือน 2) นอกจากนี้ยังเผยค่าบริการ Bing Chat Enterprise ซึ่งจะฟรีหากเป็นสมาชิก Microsoft 365 แต่หากไม่เป็นสมาชิกจะคิดราคาแบบ Stand alone ที่ $5 นอกจากนี้ Microsoft และ Activision Blizzard วางแผนที่จะทำงานต่อไปเพื่อบรรลุข้อตกลงการควบรวมกิจการ เรามองว่าทั้งสองประเด็นจะช่วยหนุนให้รายได้ของ MSFT เพิ่มขึ้นราว 10%-15% ในแต่ละส่วน ซึ่งมีผลดีต่ออนาคตในระยะยาวของบริษัท ขณะที่มูลค่าหุ้นในปัจจุบันอยู่ที่30x ทำให้เรามองว่าสำหรับใครที่มีอยู่ แนะนำให้ถือต่อเนื่องหลังยังคงเป็นขาขึ้น
-
- หลังจากที่ตัวเลขชี้นำเศรษฐกิจจีนยังคงอ่อนแอ ทำให้รัฐบาลจีนมีการออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพิ่มเติม โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบนี้เน้นไปที่การปรับปรุงบ้านและให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินเชื่อในการซื้อสินค้าที่ใช้ในบ้าน รวมถึงให้มีการซื้อบริการใน IoT, Cloud Computing และเทคโนโลยี AI เรามองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบนี้ของจีนอาจจะไม่ได้มีผลกระทบกับเศรษฐกิจมากเท่ากับการกระตุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน แต่ทำให้ Downside ในการบริโภคลดลงในระดับหนึ่ง
-
- เรามองว่าเศรษฐกิจจีนยังค่อนข้างอ่อนแอ และยังมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่อเนื่องคาดว่าจะอยู่ที่ 30% ในปี 2023 ต่ำกว่าในช่วงปี 2021-2022 ที่อยู่ที่ 60% ทำให้เราค่อนข้างกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวใน 2H23 เรามองว่าหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการบริโภคนั้นได้แก่ China Mobile, Xiaomi, Baidu, Haier
|