- ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นหลังได้รับแรงหนุนกลุ่มธนาคารที่มีผลการทำ Stress Test ที่ออกมาดี ด้านตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงวานนี้ออกมาแกร่งทั้งในสหรัฐฯที่ GDP และตัวเลขแรงงานออกมาดีกว่าตลาดคาด ด้านกลุ่มชิปจีนยังคงมีแรงกดดันจากการควบคุมของทางการสหรัฐฯ ประกอบกับล่าสุดมีแรงกดดันจากทางการเนเธอแลนด์ต่อเนื่อง
-
- กระแสเงินในวันที่ 28 มิ.ย. 2023 1) กระแสเงินในตราสารหนี้ค่อนข้างผันผวน ทั้งนี้มีความกังวลกับท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐที่จะขึ้นดอกเบี้ยเป็นความเสี่ยงสำคัญ มีแรงซื้อในตราสารหนี้คุณภาพดีและตราสารหนี้ระยะยาว 2) มีเงินไหลออกจากตลาดหุ้น EM และเอเชียจากความกังวลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่ช้า 3) มีแรงซื้อในกลุ่มเทคโนโลยี แต่ยังมองว่าเป็นแรงเก็งกำไรเพราะกระแสเงินค่อนข้างผันผวนและปริมาณไม่สูงนัก 4) กระแสเงินในรายกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นการขายในกลุ่มการเงิน ในขณะที่กลุ่มพลังงานมีเงินไหลเข้าและแรงซื้อกลับ 5) มีแรงขายในโลหะมีค่าและมีแรงซื้อในตลาดหุ้นญี่ปุ่นมองว่าเป็นเรื่องของค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า
-
- Russia-Ukraine ไม่มีพัฒนาการเชิงบวก เห็นความขัดแย้งในฝั่งของรัสเซียเพิ่มขึ้น ด้านราคาถ่านหินในยุโรปเพิ่มขึ้น 1.9% ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 2.7% ส่วนต่างดอกเบี้ยของกลุ่ม IG ทั่วโลกปรับตัวลดลง 4bps ส่วนตราสาร HY ปรับลดลง 10bps ขณะที่ตลาดหุ้นจีนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม Reopening ในจีน ปรับลดลง 1.9% ไม่มีข่าวใหม่นักลงทุนกังวลกับภาพของเศรษฐกิจจีนเป็นสำคัญ โดยกลุ่มที่ปรับตัวลดลงแรงได้แก่หุ้นกลุ่มร้านอาหารและเสื้อผ้าปรับตัวลดลง 3-5% ส่วนกลุ่มอื่นก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน 1-2%
-
- ประธานาธิบดีโจ ไบเดนเปิดเผยถึงหนึ่งในแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการลงทุน 4.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐสำหรับการขยายโครงข่ายอินเตอร์เนทให้ 50 รัฐของสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอินเตอร์เนทความเร็วสูงได้ในปี 2030 โดยนโยบายนี้เป็นการลงทุนการขยายโครงข่ายอินเตอร์เนทที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับรัฐบาลก่อนหน้าที่มีมาตรการที่คล้ายกัน เรามองว่านโยบายนี้มีประโยชน์กับการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ในอนาคตข้างหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจใหม่ อาทิเช่น AI และ Cloud
-
- นอกจากนี้จากการพัฒนาโครงข่ายอินเตอร์เนทความเร็วสูง เรามองว่าจะช่วยให้กลุ่มเทคโนโลยีอย่างผู้ผลิตชิปเช่น Broadcom, Qualcomm, Skyworks และผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวกับ Network อย่าง Cisco รวมถึงผู้ประกอบการโทรคมนาคมอย่าง Verizon, AT&T และ Charter Communication ได้ประโยชน์ นอกจากนั้นผู้ทำโครงข่ายอย่าง American Tower และ Crown Castle ได้ประโยชน์ในทางอ้อม
-
- Nike เผยงบ 4Q23 โดยรายได้เพิ่มขึ้นดีกว่าคาด 5%YoY ขณะที่กำไรยังคงลดลง 27%YoY อยู่ที่ $0.6 ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าตลาดคาดหลังสินค้าคงคลังยังไม่ลดลง ด้าน H&M เผยงบ 2Q23 โดยยอดขายทรงตัว ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลง -210bps เป็น 52.7% อย่างไรก็ดีสินค้าคงคลังลดลง -20%YoY ซึ่งเท่ากับ 16.7% ของยอดขาย ทำให้เรามองว่าตลาดค่อนข้างตอบสนองต่อระดับสินค้าคงคลัง โดย H&M มีสินค้าคงคลังที่ลดลงมากทำให้ราคาหุ้นมีการตอบสนองในทิศทางบวกและปรับตัวขึ้นแรงราว 18% ขณะที่ Nike ยังคงทรงตัวส่งผลให้ราคาหุ้นในช่วง Afterhour ปรับตัวลง อย่างไรก็ดีหากตัดความกังวลเรื่องสินค้าคงคลังออก เรามองว่า H&M ยังคงมีอุปสงค์ที่อ่อนแออยู่ซึ่งยังเป็นแรงกดดันในระยะถัดไป สวนทางกับงบ Nike ที่ออกมาค่อนข้างฟื้นตัวดีและมีภาพอุปสงค์ที่ฟื้นตัว ทั้งในจีนและในสหรัฐฯที่ถึงแม้จะมีแรงกดดันด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภค อย่างไรก็ดีมองยังคงมีแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลฯด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้เราเชื่อว่าในระยะถัดไปหาก 1) ค่าเงินดอลฯอ่อนค่า 2) สินค้าคงคลังดีขึ้น Nike จะสามารถ Outperform ได้
|
