![]() เศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอพร้อมเพรียง (Synchronized Slowdown) ในครึ่งปีหลัง เรามองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งจะทำให้ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ Momentum เศรษฐกิจจีนและไทยชะลอลงกว่าคาด ด้วยความเสี่ยงเศรษฐกิจที่มากขึ้น ทำให้เรามองว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอพร้อมเพรียง (Synchronized Slowdown) ในครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจจีนอ่อนแรง ความคาดหวังว่าจะเกิดปรากฏการณ์ “revenge spending” หรือพฤติกรรมการช็อปล้างแค้นหลังจากอัดอั้นความต้องการไว้ในช่วงที่เกิดสถานการณ์ COVID นั้นไม่ได้เกิดขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ และเราประเมินอัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนไว้สูงเกินไป เรามีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับจีนลดน้อยลงใน 2H23 แม้ว่า valuation ต่ำ นอกจากนี้ภาคส่งออกก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงใน 2H23 ซึ่งจะส่งผลลบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก เช่น อาหาร โลจิสติกส์ ปิโตรเคมี และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การระบายสินค้าคงคลังส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ การระบายสินค้าคงคลังจะส่งผลทำให้การเติบโตของ GDP และกำไรต่ำกว่าคาด เนื่องจากจะต้องใช้เวลา 1-2 ไตรมาสในการลดสินค้าคงคลังลงสู่ระดับปกติ เราไม่คิดว่าจะเห็นเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจนกว่าการระบายสินค้าคงคลังจะเสร็จสิ้น โดยเฉพาะสินค้าคงคลังในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ และเครื่องจักร เศรษฐกิจไทยเผชิญความเสี่ยงทั้งจากภายในและภายนอก ความเสี่ยงภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และการระบายสินค้าคงคลังของจีน จะสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของ GDP ในขณะที่ความเสี่ยงภายใน เช่น ความเสี่ยงด้านกฎหมายจากนโยบายต่อต้านการผูกขาดจะเป็นปัจจัยกดดันกลุ่มธุรกิจที่ครองตลาด ซึ่งจะส่งผลทำให้ sentiment ปรับตัวแย่ลง การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตใน 2H23 นโยบายของรัฐบาลใหม่ทำให้เกิดความไม่แน่นอน หากรัฐบาลใหม่ทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ว่าจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท และขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 20% เป็น 23% การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลกระทบทำให้กำไรปรับลดลง 4% ขณะที่การขึ้นภาษีจะส่งผลระทบทำให้กำไรปรับลดลง 3% ในทางกลับกัน หากค่าไฟฟ้าปรับลดลง 0.7 บาทต่อหน่วย (-15%) กำไรจะปรับเพิ่มขึ้น 3% ผลลัพธ์สุดท้าย คือ กำไรสุทธิของบริษัทภายใต้การวิเคราะห์ของเราจะปรับลดลง 3% จากกรณีฐาน และจะส่งผลทำให้มีการ de-rating valuation ของบริษัทขนาดใหญ่ ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและเป้าหมาย SET Index เราปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ลงจาก 3.0% สู่ 2.7% ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนสมมติฐานด้านการส่งออก การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ การปรับลดคาดการณ์กำไรลง 4% ส่งผลทำให้เป้า SET Index ปี 2023 ของเราปรับลดลง 5-6% จาก 1,750 จุด สู่ 1,650 จุด โหมดเติบโตช้า downside อยู่ในครึ่งปีหลัง คงกลยุทธ์การลงทุนแบบ defensive & selective จุดโฟกัสที่สำคัญใน 2H23 คือ การระบายสินค้าคงคลังเสร็จสิ้น การมาของเอลนีโญ และการฟื้นตัวของกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ด้วย tail risks (ความเสี่ยงในเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย แต่มีผลกระทบรุนแรง) ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เราจึงแนะนำให้ลงทุนแบบ defensive และ selective ในกลุ่มวัฏจักร และโฟกัสไปที่แนวโน้มธุรกิจและการฟื้นตัวของกำไร เลือกหุ้นที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัดจากนโยบายของรัฐบาลใหม่ และกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว ตลาดมีความผันผวนสูงสืบเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาค เราเล็งเห็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจนและได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัดจากนโยบายของรัฐบาลใหม่ หุ้นเด่นใน 3Q23 ของเรา คือ BBL BDMS BEM HMPRO และ OSP |
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม INVX Market Strategy 3Q2023_T