เมื่อรวมโอกาสที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 50 bps ใน 1H67 เข้ามาไว้ในประมาณการ เราคาดว่าธนาคารส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบจาก NIM หดตัวลงในปี 2567 และปี 2568 เร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ 1 ปี เรายังคงราคาเป้าหมายและคำแนะนำไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากประเด็นนี้มีผลกระทบน้อยมากต่อ ROE และ BVPS ในระยะยาว เรายังคงเลือก BBL และ KTB เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร เนื่องจาก valuation น่าสนใจที่สุดและความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุด แม้ว่าจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปรับประมาณการ NIM ลดลงเพื่อสะท้อนโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เราปรับประมาณการ NIM ในปี 2567 และปี 2568 ของกลุ่มธนาคารลดลง 2-7 bps เพื่อสะท้อนโอกาสที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 50 bps ใน 1H67 (25 bps ในเดือนเม.ย. และ 25 bps ในเดือนมิ.ย.) เร็วกว่าสมมติฐานเดิมของเรา 1 ปี เราคาดว่าธนาคารต่างๆ จะปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR, MOR, MRR และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำลดลง 50 bps ในขณะที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า BBL จะลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ลง 15 bps เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ในปัจจุบันสูงกว่าธนาคารอื่นๆ อยู่ 15-25 bps ดังนั้นเราจึงคาดการณ์ว่าธนาคารส่วนใหญ่จะเห็น NIM หดตัวลงเล็กน้อยในปี 2567 และ 2568 เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ 1 ปี เราคาดว่าธนาคารส่วนใหญ่ (หลักๆ เป็นธนาคารขนาดใหญ่) จะเห็น NIM ลดลง QoQ อย่างมากใน 2Q67 และ 3Q67 การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทำให้เราคาดว่า NIM จะหดตัวลงเล็กน้อยใน 1Q67 สำหรับ TISCO และ KKP (ซึ่งมีสัดส่วนเงินให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยลอยตัวระดับต่ำ) เราคาดว่า NIM จะปรับตัวดีขึ้นใน 4Q67 และปี 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากการได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย คาดกำไรเติบโตเล็กน้อยในปี 2567 และปี 2568 การปรับประมาณการ NIM ลดลงส่งผลทำให้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ของธนาคารส่วนใหญ่ (หลักๆ เป็นธนาคารขนาดใหญ่) ลดลง 1-3% แรงฉุดรั้งจาก NIM ที่หดตัวลดลงทำให้เราคาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารจะเติบโต 4% ในปี 2567 และ 6% ในปี 2568 โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ 3% credit cost ที่ลดลง 8 bps non-NII ในระดับคงที่ และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ในระดับทรงตัว | ||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก BANK240315_T
|