ราคาหน่วยทรัสต์ LHHOTEL: ปรับขึ้น 24.8% ใน 3 เดือนที่ผ่านมา
ปัจจัยหนุนการปรับขึ้นต่อ:
1. แนวโน้ม ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 50bps ใน 4Q67
2. แนวโน้มกำไร 3Q67 ที่แข็งแกร่ง
3. การคาดการณ์ว่า consensus จะปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นหลังประกาศผลประกอบการ 3Q67
ปรับประมาณการกำไรปี 2567: เพิ่มขึ้น 20.3% สู่ 1,700 ล้านบาท (+75.1% YoY)
ปรับประมาณการ DPU:
• ปี 2567: 1.24 บาท/หน่วย (จาก 1.16 บาท)
• ปี 2568: 1.26 บาท/หน่วย (จาก 1.19 บาท)
• อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล: 9.5% และ 9.6% ตามลำดับ
คำแนะนำ: OUTPERFORM, ราคาเป้าหมายใหม่ 16.5 บาท (จาก 15 บาท)
LHHOTEL: เป็น top pick ในกลุ่ม REITs & IFFs
ปัจจัยกระตุ้น #1: คาด ธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนต.ค. หลังจากเฟดปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง 50bps ในการประชุมเดือนก.ย. ราคาหน่วยทรัสต์ LHHOTEL ก็ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 3.8% outperform SET อยู่ 3.3% สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป คือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของ ธปท. INVX คาดว่า ธปท.จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง 50bps ในปี 2567 โดยคาดว่าจะปรับลงครั้งแรก 25bps ในการประชุมเดือนต.ค. และอีก 25bps ในการประชุมเดือนธ.ค. เราเชื่อว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลง ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ราคาหน่วยทรัสต์ LHHOTEL ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะสั้น เนื่องจาก LHHOTEL จัดเป็นหุ้นปันผล อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงจะทำให้ LHHOTEL ดูน่าสนใจมากขึ้น ในอดีตที่ผ่านมา ราคาหน่วยทรัสต์ LHHOTEL ปรับตัวขึ้นได้ดีเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลง (Figure 3)
ปัจจัยกระตุ้น #2: คาดกำไรปกติเติบโต QoQ และ YoY ใน 3Q67 เราคาดว่า LHHOTEL จะรายงานกำไรปกติ 3Q67 ที่ 428 ลบ. เพิ่มขึ้น 3.6% QoQ และ 87.8% YoY กำไรที่เติบโตแข็งแกร่ง YoY จะสะท้อนถึงรายได้จากทรัพย์สินใหม่ 2 โครงการ (โครงการโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา และ โครงการโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา) ที่กองทรัสต์ได้เข้าลงทุนใน 4Q66 ขณะที่กำไรที่เพิ่มขึ้น QoQ จะเกิดจากปัจจัยฤดูกาลจากความต้องการเข้าพักที่ปรับตัวสูงขึ้นจากลูกค้าประเทศฮ่องกง (10% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมด) และสิงคโปร์ (5%) เนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคเรียน รายได้ค่าเช่าน่าจะอยู่ที่ 591 ลบ. เพิ่มขึ้น 6.9% QoQ และ 88.6% YoY ทั้งนี้นับถึงปัจจุบัน LHHOTEL ยังไม่เห็นผลกระทบเชิงลบใดๆ จากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจากโรงแรมทั้งหมดที่กองทรัสต์เข้าลงทุนอยู่ในกลุ่มโรงแรมระดับบน ซึ่งน่าจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างจำกัด
ปัจจัยกระตุ้น #3: consensus น่าจะปรับเพิ่มประมาณการกำไรหลังประกาศผลประกอบการ 3Q67 เมื่ออิงกับประมาณการ 3Q67 ของเรา กำไรปกติ 9M67 น่าจะอยู่ที่ 1.3 พันลบ. ซึ่งคิดเป็น 93% ของประมาณการกำไรที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และ 86.6% ของประมาณการกำไรของ consensus ดังนั้นเราจึงมองว่ามีโอกาสสูงที่ consensus จะปรับประมาณการกำไรของ LHHOTEL เพิ่มขึ้นหลังจากประกาศผลประกอบการ 3Q67 ด้วยเหตุนี้ เราจึงปรับประมาณการกำไรปกติปี 2567 เพิ่มขึ้น 20.3% มาอยู่ที่ 1.7 พันลบ. (+75.1% YoY) หลังจากปรับสมมติฐานอัตราการเข้าพักและอัตราค่าห้องพักเพิ่มขึ้นเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าคาด (Figure 2) นอกจากนี้ การปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นยังหนุนให้เราปรับประมาณการ DPU ปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก 1.16 บาท/หน่วย เป็น 1.24 บาท/หน่วย และปี 2568 เพิ่มขึ้นจาก 1.19 บาท/หน่วย เป็น 1.26 บาท/หน่วย ด้วย
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ แม้ราคาหน่วยทรัสต์ LHHOTEL ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 24.8% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แต่เราเชื่อว่าราคายังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อ เนื่องจาก: 1) เราเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2) อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังคงน่าสนใจที่ 9.5% ในปี 2567 และ 9.6% ในปี 2568 และ 3) ทรัพย์สินทั้งหมดของ LHHOTEL มีคุณภาพสูง ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งใน 1H67 เรามองว่ากำไรยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง เนื่องจากหนี้สิน 70% ของกองทรัสต์มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว การปรับอัตราดอกเบี้ยลดลงทุกๆ 25bps จะช่วยหนุนให้ประมาณการกำไรปี 2568 ของเราปรับเพิ่มขึ้นได้อีก 1.1%
ความเสี่ยงและความกังวล 1) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่สูงขึ้น 2) เหตุการณ์พิเศษ เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และ 3) กองทรัสต์อาจจะไม่สามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปี 2567 เอาไว้ได้ในปี 2568 ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในด้านก๊าซเรือนกระจก พลังงาน น้ำเสีย และของเสีย อย่างมีประสิทธิภาพ (E)