ราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันของไทยปรับตัวลดลงเฉลี่ย 9% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา underperform SET ที่ลดลง 5% ซึ่งบ่งชี้ถึงมุมมองเชิงลบต่ออุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมัน เนื่องจากผลประกอบการจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากค่าการกลั่นตลาดที่อ่อนแอใน 2Q67 และแผนจัดเก็บภาษีคาร์บอนจากผลิตภัณฑ์น้ำมันภายในปี 2568 ค่าการกลั่นตลาดฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยแกว่งตัวอยู่ในช่วง US$3-4/บาร์เรล ในเดือน มิ.ย. 2567 เทียบกับ US$4-5/บาร์เรล ในเดือนมิ.ย. 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากอุปสงค์ที่เติบโตต่ำกว่าคาดในฤดูขับขี่ในช่วงหน้าร้อน เราคาดว่าค่าการกลั่นตลาดจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นใน 3Q67 ซึ่งจะทำให้นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจหุ้นกลุ่มนี้อีกครั้ง หุ้นเด่นของเรายังคงเป็น BCP (ราคาเป้าหมาย: 51 บาท) เพราะแนวโน้มกำไรสดใสจากการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีของ BSRC และมีธุรกิจที่หลากหลาย และ TOP (ราคาเป้าหมาย: 77 บาท) เพราะแนวโน้มค่าการกลั่นเป็นบวกใน 2H67 ค่าการกลั่นตลาดฟื้นตัวช้า ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปรับตัวลดลง 17% YoY และ 53% QoQ มาอยู่ที่ US$3.5/บาร์เรล ใน 2Q67TD ซึ่งเป็นผลมาจาก crack spread ที่อ่อนแอของผลิตภัณฑ์หลักทั้งหมด นำโดยน้ำมันเบนซิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนค่าการกลั่นใน 1Q67 crack spread น้ำมันเบนซินลดลง 42% QoQ สู่ US$10.3/บาร์เรล ใน 2Q67 เทียบกับ >US$16/บาร์เรล ใน 2Q66-1Q67 อุปสงค์น้ำมันเบนซินตามฤดูกาลในช่วงฤดูขับขี่ต่ำกว่าคาด ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงการขนส่งหลังสถานการณ์ COVID ในสหรัฐฯ โดยหันกลับมาเดินทางโดยใช้เครื่องบินแทนการขับรถ นอกจากนี้ รถยนต์ที่มีประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงมากขึ้นและรถยนต์ไฟฟ้าก็มีส่วนทำให้การใช้น้ำมันเบนซินลดลงด้วย crack spread น้ำมันดีเซลและน้ำมันเครื่องบินลดลงในอัตราที่น้อยกว่าน้ำมันเบนซิน (-32% QoQ โดยเฉลี่ย) มาอยู่ที่ US$14-15/บาร์เรล เทียบกับ 12MMA ที่ >US$21/บาร์เรล ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์เฉลี่ย YTD ลดลง 13% YoY สู่ US$5.4/บาร์เรล เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปี (ก่อนเกิด COVID) ที่ US$6.1/บาร์เรล คาดผลประกอบการอ่อนแอลงใน 2Q67 บริษัทที่ประกอบธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของไทยน่าจะรายงานผลประกอบการที่อ่อนแอลง QoQ ใน 2Q67 เพราะได้รับผลกระทบจากค่าการกลั่นตลาดที่ลดลงแรง แม้ว่าจะได้รับการชดเชยบางส่วนจากอัตราค่าระวางที่ลดลงและค่าพรีเมียมน้ำมันดิบที่แข่งขันได้ ผลกระทบของกำไร/ขาดทุนสต๊อกจะผสมปนเปกัน ขึ้นอยู่กับระดับสต๊อกน้ำมันต้นทุนสูงที่ถือมาจากเดือนมี.ค.-เม.ย. 2567 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล โดยรวมแล้วเราคาดว่าผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันจะรับรู้กำไรสต๊อกเล็กน้อยที่ US$0.6/บาร์เรลใน 2Q67 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดในช่วงปลายเดือนพ.ค.-ต้นมิ.ย. นอกจากนี้ผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันบางรายยังลดอัตราการใช้กำลังการผลิตลงเพื่อตอบสนองต่อค่าการกลั่นระดับต่ำและการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ตามแผน คาดค่าการกลั่นตลาดฟื้นตัวใน 3Q67 แม้ว่าค่าการกลั่นตลาดใน 3Q67 จะลดลง YoY จาก US$9.6/บาร์เรล ใน 3Q66 แต่เราคาดว่าอุปสงค์ตามฤดูกาลจะช่วยหนุนให้ค่าการกลั่นใน 3Q67 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดใน 2Q67 โดยจะได้แรงหนุนจาก crack spread ที่สูงขึ้นของผลิตภัณฑ์ middle distillates (น้ำมันดีเซลและน้ำมันเครื่องบิน) ที่อยู่ภายใต้แรงกดดันใน 2Q67 ปัจจัยสนับสนุนจะมาจากอุปสงค์ที่สูงขึ้นในเอเชีย รวมถึงเกาหลีใต้ ซึ่งรัฐบาลได้ขยายระยะเวลาลดภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ออกไปอีก 2 เดือน หรือจนถึงสิ้นเดือนส.ค. ทั้งนี้แม้ว่าจีนจะมีโควตาการส่งออกน้ำมันรอบใหม่ แต่คาดว่าการส่งออกน้ำมันของจีนจะลดลงในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการผลิตที่ลดลง อุปทานเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่งที่เพิ่มขึ้นจากจีนคาดว่าจะไม่เพียงพอรองรับอุปสงค์พลังงานในเอเชียที่เพิ่มขึ้น (S&P Global) นอกจากนี้การเดินทางทางอากาศก็น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 2H67 เนื่องจาก IATA คาดว่าปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางทางอากาศในภูมิภาคส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับปี 2562 จากอัตราการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารรวมทั้งหมดทั่วโลกที่ 10.4% YoY โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (+17.2% YoY) BCP และ TOP เป็นหุ้นเด่น ราคาหุ้น BCP ปรับตัวลดลง 16% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แย่กว่า SET ที่ลดลง 5% และหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันไทยที่ลดลงเฉลี่ย 8% ซึ่งเราเชื่อว่าสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการ 2Q67 จากการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่โรงกลั่นตามแผนและการหยุดซ่อมบำรุงแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดของ OKEA (Statfjord) valuation ของ BCP ยังอยู่ในระดับต่ำที่ PE (ปี 2567) ต่ำกว่า 4 เท่า และ PBV 0.6 เท่า (-1.5SD) นอกจากนี้ เรายังคาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 6.7% (ปี 2567) เราชอบ TOP เนื่องจากเป็น proxy สำหรับค่าการกลั่นที่ดีขึ้นใน 3Q67 และ valuation น่าสนใจที่ PE 5.7 เท่า และ PBV 0.7 เท่า และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 6.2% ปัจจัยเสี่ยง การชะลอตัวของเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ในขณะที่ความผันผวนของราคาน้ำมันอาจทำให้เกิดขาดทุนสต๊อก ความเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ การด้อยค่าของสินทรัพย์และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการแทรกแซงของรัฐบาลในธุรกิจพลังงาน ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ ผลกระทบของธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด |
|||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก Energy_OilRefinery240628_T 1
|