หลังจากเติบโตในทิศทางที่แตกต่างกันในปี 2566 (2 บริษัทจะรายงานกำไรเติบโต และอีก 2 บริษัทจะรายงานกำไรลดลง) เราคาดว่าผลประกอบการของกลุ่มการแพทย์จะกลับสู่ระดับปกติ โดยกำไรปกติของกลุ่มจะเติบโต 11% YoY ในปี 2567 การขยายจำนวนเตียงจะมุ่งเน้นไปที่พื้นที่ EEC ซึ่งเราไม่คิดว่าจะเกิดการแข่งขันที่รุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอุปทานเตียงในพื้นที่ EEC มีน้อย หุ้นเด่นของเราคือ BCH ซึ่งคาดว่าจะรายงานกำไรที่เติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มที่ 18% ในปี 2567 และ BDMS ซึ่งเรามองว่าเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการเติบโตในระยาวของพื้นที่ EEC โดยหุ้นทั้งสองยังมี valuation ที่น่าสนใจ (ซื้อขายต่ำกว่าระดับ -2SD) และมี SET ESG ratings ในปี 2566 อยู่ที่ระดับ AA กำไรจะกลับมาเติบโตในระดับปกติในปี 2567 BCH จะรายงานกำไรเติบโตแข็งแกร่งที่สุด หลังจากเติบโตในทิศทางที่แตกต่างกันในปี 2566 โดยที่เราคาดว่า BDMS และ BH จะรายงานกำไรเติบโตเพิ่มขึ้น ในขณะที่ BCH และ CHG จะรายงานกำไรลดลงจากฐานสูงจากการให้บริการที่เกี่ยวกับโควิด-19 เราคาดว่าผลประกอบการของกลุ่มการแพทย์จะกลับสู่ระดับปกติ โดยกำไรปกติของกลุ่มจะเติบโต 11% YoY ในปี 2567 BCH จะรายงานกำไรเติบโตโดดเด่นที่สุด โดยกำไรปกติจะเติบโต 18% YoY ในขณะที่ BH จะรายงานกำไรปกติเติบโตต่ำสุด โดยกำไรปกติจะเติบโต 5% YoY โรงพยาบาลเอกชนมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งของตลาดคนไข้ไทย โดยใช้กลยุทธ์เพิ่มความสามารถในการรักษาพยาบาล ขยาย/ปรับปรุงโรงพยาบาล เพิ่มการบริการกลุ่มผู้ป่วยประกันเอกชน และเพิ่มการบริการภายใต้โครงการประกันสังคม (SC) เรากำลังติดตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจทำให้เกิดการชะลอการรักษาโรคที่ไม่รีบด่วนและความไม่สะดวกของคนไข้ต่างชาติที่จะเดินทางมารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทย เรามองว่าประเด็นนี้เป็นความเสี่ยงด้านผลประกอบการสำหรับกลุ่มการแพทย์ โดยเฉพาะกับ BH เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการให้บริการคนไข้ต่างชาติสูงที่ 67% ของรายได้รวม เน้นขยายจำนวนเตียงในพื้นที่ EEC ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับอุปทานส่วนเกิน ในปัจจุบัน BDMS มีสถานะที่แข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่ EEC โดยมีโรงพยาบาล 10 แห่ง ตามมาด้วย CHG ซึ่งมีโรงพยาบาล 4 แห่ง และ BCH ซึ่งมีโรงพยาบาล 1 แห่ง และทั้ง 3 โรงพยาบาลกำลังขยายจำนวนเตียงในพื้นที่ดังกล่าว เรามีมุมมองเชิงบวกต่อความต้องการใช้บริการทางการแพทย์ในพื้นที่ EEC และไม่คิดว่าจะเกิดการแข่งขันที่รุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอุปทานเตียงในพื้นที่ EEC มีน้อย โดยพื้นที่ EEC มีจำนวนประชากร (ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน) ~3 ล้านคน (ข้อมูลปี 2564) อย่างไรก็ดี หากรวมผู้พักอาศัยซึ่งรวมถึงคนงานในนิคมอุตสาหกรรมจะมีจำนวน ~4 ล้านคน และรัฐบาลคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ ~8 ล้านคนในปี 2580 ข้อมูลที่เรารวบรวมได้แสดงให้เห็นว่าในพื้นที่ EEC มีจำนวนเตียงโรงพยาบาล ~8,000 เตียง หรือคิดเป็น 2.6 เตียงต่อประชากร 1,000 คน แต่จะลดลงสู่ 2.0 เตียงเมื่อรวมผู้พักอาศัยที่ประเมินได้ที่ 4 ล้านคนเข้ามา และ 1.0 เตียงเมื่ออ้างอิงผู้พักอาศัยที่จะเพิ่มเป็น 8 ล้านคนในปี 2580 ซึ่งอัตราส่วนเตียงต่อประชากร 1,000 คนนั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศไทยที่ 2.6 เตียง และกรุงเทพฯ ที่ 5.3 เตียง ค่อนข้างมาก ซึ่งบ่งชี้ว่าอุปทานเตียงในพื้นที่ EEC อยู่ในระดับต่ำ BCH และ BDMS คือ หุ้นเด่นของเรา เรามีมุมมองเป็นกลางต่อกลุ่มการแพทย์ หุ้นเด่นของเรา คือ BCH (ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 24 บาท/หุ้น) จากการเติบโตของกำไรปกติที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มในปี 2567 มีอัพไซด์ต่อประมาณการจากจำนวนผู้ประกันตน SC ที่จะเพิ่มขึ้น และ BDMS (ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 35 บาท/หุ้น) ซึ่งเรามองว่าเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการเติบโตในระยาวของพื้นที่ EEC โดยหุ้นทั้งสองยังมี valuation ที่น่าสนใจ (ซื้อขายต่ำกว่าระดับ -2SD) และมี SET ESG ratings ในปี 2566 อยู่ที่ระดับ AA ความเสี่ยง คือ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การเกิดโรคระบาดใหญ่ที่จะส่งผลกระทบทำให้ผู้ป่วยชะลอการเข้าใช้บริการ การแข่งขันรุนแรง การขาดแคลนบุคลากร และความเสี่ยงด้านกฎหมาย สำหรับกลุ่มการแพทย์ เรามองว่าปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ ความปลอดภัยของผู้ป่วย (S) ซึ่ง BCH BDMS BH และ CHG นำเอาระบบบริหารคุณภาพต่างๆ มาใช้สำหรับกระบวนการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง |
||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก Healthcare231227_T
|