แม้ปริมาณจราจรจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 และในที่สุดแล้วจะกลับสู่ระดับก่อนเกิด COVID แต่แนวโน้มกำไรของหุ้นในกลุ่มขนส่งทางบกกลับมีทิศทางที่แตกต่างกัน เราคาดว่า BEM จะฟื้นตัวได้ดีที่สุด ดังนั้นเราจึงให้คำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ BEM ด้วยราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี SOTP ที่ 9.0 บาท (8.3 บาทสำหรับธุรกิจหลัก และ 0.7 บาทสำหรับเงินลงทุนใน CKP และ TTW) ราคาเป้าหมายของเรายังไม่ได้รวม upside อีก 1.5 บาทจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกเข้ามา สำหรับ BTS เราเชื่อว่ากำไรปกติยังไม่ถึงจุดต่ำสุด ดังนั้นเราจึงคงคำแนะนำ NEUTRAL โดยให้ราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี SOTP ที่ 9.6 บาท ถ้าไม่นับการต่อสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ราคาเป้าหมายจะอยู่ที่ 6 บาท นอกจากนี้เรายังให้คำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ BTSGIF ด้วยราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี DDM ที่ 5.5 บาท BTSGIF เป็นตัวเลือกลงทุนระยะยาวที่มั่นคง เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลดี ถ้าเราใช้สมมติฐานผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับในแต่ละไตรมาสอยู่ในระดับคงที่ที่ 0.2 บาท/หน่วย จนกระทั่งสิ้นสุดสัมปทาน IRR จะอยู่ที่ 7.5% อย่างไรก็ตาม เรามองว่าราคาหน่วยลงทุนมี upside ค่อนข้างจำกัดในระยะสั้น เนื่องจากผลตอบแทนที่จ่ายคืนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนจะอยู่ในรูปของการลดทุน ในอดีตที่ผ่านมา ราคาหุ้นที่จ่ายผลตอบแทนในรูปการลดทุนมักเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ปริมาณจราจรจะฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2567... ณ สิ้นปี 2566 ปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนอยู่ที่ 90% ของระดับก่อนเกิด COVID จำนวนผู้โดยสาร MRT (สายสีน้ำเงิน) อยู่ที่ 78% ของระดับก่อนเกิด COVID (อิงกับระดับก่อนเกิด COVID ที่ประเมินได้ที่ 500,000 เที่ยวคน/วัน) และจำนวนผู้โดยสาร BTS (สายหลักสีเขียว) อยู่ที่ 80% ของระดับก่อนเกิด COVID เราเชื่อว่าโมเมนตัมการเติบโตจะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2567 เราประเมินได้ว่าปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนจะเพิ่มขึ้น 2.2% สู่ 1.1 ล้านเที่ยว/วัน หรือ 92% ของระดับก่อนเกิด COVID ปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนใน 2M67 เพิ่มขึ้น 0.4% YoY สำหรับ MRT (สายสีน้ำเงิน) จำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันน่าจะเพิ่มขึ้น 15% สู่ 449,000 เที่ยวคนต่อ/วัน ซึ่งคิดเป็น 90% ของระดับก่อนเกิด COVID จำนวนผู้โดยสาร MRT ใน 2M67 เพิ่มขึ้น 13.3% YoY สำหรับ BTS (สายหลักสีเขียว) เราจะอธิบายตัวเลขการเติบโตอ้างอิงกับปีบัญชีของ BTS ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมี.ค. สำหรับปี FY2567 (เม.ย. 2556 – มี.ค. 2567) เราคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้น 30% สู่ 212 ล้านเที่ยวคน ซึ่งคิดเป็น 88% ของระดับก่อนเกิด COVID จำนวนผู้โดยสาร BTS ใน 2M67 เพิ่มขึ้น 8.5% YoY ในขณะที่จำนวนผู้โดยสารใน 11MFY67 เติบโต 21% ...และในที่สุดแล้วจะกลับสู่ระดับก่อนเกิด COVID นักลงทุนจำนวนมากมีคำถามว่าปริมาณจราจรจะกลับสู่ระดับก่อนเกิด COVID หรือไม่เมื่อพิจารณาจากเทรนด์การทำงานแบบ hybrid เราเชื่อว่าคำตอบคือ "ใช่" ปัจจัยสนับสนุนอย่างหนึ่ง คือ การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นอกจากนี้เรายังเห็นแนวโน้มที่คนใช้รถประจำทางน้อยลงและหันมาใช้บริการรถไฟฟ้ามากขึ้น (ดูรายละเอียดใน Figure 8-11) อีกทั้งจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็เพิ่มขึ้นด้วย เราเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้ปริมาณจราจรกลับสู่ระดับก่อนเกิด COVID ทั้งนี้ตามสมมติฐานของเรา เราประเมินได้ว่าปริมาณจราจรจะกลับสู่ระดับก่อนเกิด COVID ในปี 2568-2569 ความเสี่ยงในการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดอายุ (roll-over risk) มีจำกัด เรามองว่าทั้ง BTS และ BEM มีความเสี่ยงดังกล่าวค่อนข้างจำกัด BEM มีหุ้นกู้มูลค่า 8 พันลบ. ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2567 และ 7 พันลบ. ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2568 ในขณะที่บริษัทมีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารเพียงพอ สำหรับ BTS บริษัทมีหุ้นกู้มูลค่า 1.3 หมื่นลบ. ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี FY2568 (เม.ย. 2567 - มี.ค. 2568) และ 8.7 พันลบ. ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี FY2569 เมื่ออิงกับข้อมูลที่เราได้มาจากการพูดคุยกับผู้บริหาร BTS มีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารจำนวน 1.7 หมื่นลบ. และมีสินทรัพย์สภาพคล่อง 2.0 หมื่นลบ. ในขณะที่ BTSGIF ไม่มีหนี้สิน ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญสำหรับกลุ่มขนส่งทางบก ความน่าเชื่อถือของการให้บริการ คือ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญสำหรับกลุ่มขนส่งทางบก เนื่องจากจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อจำนวนผู้โดยสาร |
||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก LandTransport240319_T
|