ราคาหุ้นของบริษัทที่ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าปรับตัว underperform SET YTD โดยมีสาเหตุมาจากความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่สูงขึ้นจากการตรึงค่าไฟฟ้า ในขณะที่ยังมี lag time ในการปรับต้นทุนตามราคาพลังงานที่ลดลง ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของผู้ผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะ SPP ปรับตัวลดลง แม้ว่าความเสี่ยงด้านกฎระเบียบยังคงมีอยู่ แต่เราคาดว่าจะเห็นปัจจัยกระตุ้น 3 ประการผลักดันให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะ 3 เดือนข้างหน้า ได้แก่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง ค่า Ft ที่สูงขึ้น และต้นทุนพลังงานที่ลดลง ปัจจัยเหล่านี้จะกระตุ้นให้นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคหลังจากประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากเป็นเวลา 2 ปีในปี 2565-2566 หุ้นเด่นของเรา คือ GULF (ราคาเป้าหมาย 63 บาท) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจะส่งผลบวกต่อหุ้นสาธารณูปโภค เราคาดว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกจะลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2567 ดังเห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงในสหรัฐฯ และในประเทศไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับตัวลดลงมาแล้ว 19-32bps ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะทยอยปรับลดลงในอนาคตอันใกล้นี้ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนาเนื่องจากมีสัดส่วนเงินกู้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูงที่ 48-57% เราประเมินได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยทุกๆ 1% จะทำให้กำไรปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้นได้อีก 0.5-1.4% จากประมาณการปัจจุบันของเรา และจะช่วยหนุนให้ valuation ที่อิงกับวิธี DCF ปรับเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจาก WACC จะลดลง 28-76bp สำหรับ risk- free rate ที่ลดลงทุกๆ 1% ทั้งนี้เราแสดงค่า correlation ระหว่างราคาหุ้นกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสำหรับแต่ละหุ้นไว้ใน Figure 7-12 ค่า Ft งวดเดือนม.ค.-เม.ย. 2567 ต่ำกว่าตัวเลขของ กกพ. รัฐบาลเพิ่งมีมติเห็นชอบให้ขึ้นค่า Ft สำหรับงวดเดือนม.ค.-เม.ย. 2567 ที่ 0.4167 บาท/kWh (ต่ำกว่าที่กกพ. ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ที่ 0.8955 บาท/kWh) เพื่อตรึงค่าไฟฟ้าไว้ไม่ให้เกิน 4.20 บาท/kWh ค่าไฟฟ้าสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ใช้ไฟฟ้า <300kWh/เดือน ยังคงอยู่ที่ 3.99 บาท/kWh (ราว 1.7 ล้านครัวเรือน) ค่าไฟฟ้าโดยรวมต่ำกว่าอัตราที่กกพ.เห็นชอบที่ 4.68 บาท/kWh (กรณีต่ำสุดตามข้อเสนอของ กฟผ.) อยู่ 10% อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าค่าไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น 5.2% จากงวดก่อน ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ INVX ที่ว่าค่าไฟฟ้าจะถูกปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้ครอบคลุมภาระค่าไฟฟ้าที่กฟผ. แบกรับไว้จำนวน 9.6 หมื่นลบ. ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2565 ในช่วงที่ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้น เราเชื่อว่ารัฐบาลจะเจรจาต่อรองกับ PTT เพื่อลดราคาก๊าซลงจากสมมติฐานปัจจุบันที่ 387 บาท/mmBTU เนื่องจากปัจจุบันคาดว่าราคาก๊าซทั่วโลกจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยมีสาเหตุมาจากฤดูหนาวที่อุ่นกว่าปกติและอุปทานที่สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SPP ยังอยู่รอดต่อไปได้แม้ว่าอัตรากำไรจะต่ำกว่าปกติ คาดต้นทุนพลังงานลดลงในปี 2567 เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อด้านต้นทุนของผู้ผลิตไฟฟ้าในปี 2567 ซึ่งเป็นผลมาจากอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นทั่วยุโรปและเมดิเตอร์เรเนียน รวมถึงปริมาณสต็อกที่เพียงพอ สถานการณ์เช่นนี้ฉุดรั้งให้ราคา LNG ปรับตัวลดลง Platts รายงานว่าผู้เล่นส่วนใหญ่ทั้งในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือและเมดิเตอร์เรเนียนมีสต็อกวัตถุดิบพอใช้ไปจนกระทั่งสิ้นสุดฤดูหนาว โดยที่มีความต้องการซื้อเพิ่มน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นสิ่งที่ควรติดตามดูอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเหตุโจมตีเรือในทะเลแดง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากเรือบรรทุก LNG จะต้องหันไปใช้เส้นทางอื่น สำหรับราคาก๊าซในประเทศ เรายังคงมุมมองเชิงบวกว่าปริมาณการผลิตที่สูงขึ้นที่โครงการ G1/61 (เอราวัณ) จะช่วยให้ pool price ลดลงในปี 2567 เนื่องจากราคาถูกกว่าแหล่งอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้ระบบสัมปทาน หุ้นเด่นยังคงเป็น GULF เราเชื่อว่าปัจจัย 3 ประการนี้จะส่งผลดีต่อบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะบริษัทที่มีลูกค้าอุตสาหกรรมในสัดส่วนสูง เช่น BGRIM และ GPSC อย่างไรก็ตาม GULF (OUTPERFORM, ราคาเป้าหมาย 63 บาท) ยังคงเป็นหุ้นที่เราชื่นชอบมากที่สุดในกลุ่มสาธารณูปโภค เนื่องจากราคาหุ้นจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยกระตุ้นดังกล่าวข้างต้น ในขณะที่จะถูกคุ้มครองโดยกำไรที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 โดยได้รับการสนับสนุนจากกำลังการผลิตดำเนินงานใหม่และกำไรที่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยง downside จากค่าไฟฟ้าที่ถูกควบคุม น้อยกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ เนื่องจากปริมาณการขายกลุ่ม IU คิดเป็นสัดส่วนเพียง 9% เทียบกับ >20% ของผู้ประกอบการรายอื่นๆ ราคาหุ้น GULF ปรับตัวลดลง 18% YTD แต่ outperform บริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันในประเทศ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: ต้นทุนเชื้อเพลิงสูงกว่าคาด ความล่าช้าในการปรับค่า Ft ผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการใหม่ต่ำกว่าคาด และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมถึงภาษี ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG คือ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจ และความสำเร็จในการปรับธุรกิจให้อยู่รอดต่อไปได้ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน | ||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก ENERGY231220_T
|