Key Summary
สร้าง "Core Portfolio" กับกองทุนสุดแกร่ง เพื่อโอกาสเติบโตในระยะยาว
INVX เชิญนักลงทุนทำความรู้จักกับ “Core Portfolio” หรือพอร์ตการลงทุนหลัก เพื่ออนาคตในระยะยาว
ในโลกของการลงทุน การมีแผนที่ชัดเจนและมีกลยุทธ์ที่ดีถือเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงคือการจัดพอร์ตการลงทุนระยะยาว หรือที่เรียกว่า Core Portfolio ซึ่งมีแนวคิดที่มุ่งเน้นการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มั่นคงและยั่งยืน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินในอนาคต
Core Portfolio เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการจัดสรรทรัพย์สินอย่างมีระเบียบ โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วยสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ มีความเสี่ยงต่ำและมีความมั่นคง เช่น หุ้นขนาดใหญ่ที่มีประวัติการเติบโตที่ดี, พันธบัตรรัฐบาล, หรือกองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท การจัดพอร์ตลักษณะนี้ช่วยให้คุณสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดีขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว โดย Core Portfolio ถือเป็นหัวใจหลักของกลยุทธ์ "Core & Satellite Portfolio" ขณะที่ Satellite Portfolio ใช้เป็นพอร์ตการลงทุนส่วนเสริม เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม
“เพราะสินทรัพย์แต่ละอย่าง ไม่ได้มีผู้ชนะเพียงผู้เดียวตลอดไป”

ทำไมต้องมี Core Portfolio?
- การป้องกันความเสี่ยง: Core Portfolio ช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง โดยการรวมสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเข้ามาในพอร์ต ซึ่งช่วยลดความผันผวนและความเสี่ยงโดยรวม
- การเติบโตอย่างยั่งยืน: เป็นพอร์ตการลงทุนพื้นฐานระยะยาว เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มั่นคง มีคุณภาพ และมีแนวโน้มเติบโตได้ในระยะยาว ช่วยสร้างผลตอบแทนหลักให้กับพอร์ตตามผลตอบแทนและความเสี่ยงที่รับได้
- การวางแผนการเงินที่มีระเบียบ: การจัด Core Portfolio ช่วยให้การวางแผนการเงินของคุณมีความเป็นระบบ ช่วยให้คุณสามารถติดตามผลลัพธ์และปรับกลยุทธ์ได้ตามสถานการณ์ โดยเน้นกลยุทธ์การลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายของนักลงทุนแต่ละบุคคล ภายใต้ความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้
- การลดค่าใช้จ่ายในการลงทุน: ปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนน้อยครั้ง เหมาะสำหรับผู้ลงทุนระยะยาวที่ไม่ต้องการจับจังหวะตลาด
ข้อดีของการลงทุนใน Core Portfolio
- การกระจายความเสี่ยง
- ต้นทุนต่ำ
- มีความผันผวนต่ำในระยะยาว
- ไม่ต้องจับจังหวะตลาด
สรุปกลยุทธ์ลงทุน Core Portfolio
- เงินลงทุน 70-80% ของพอร์ตรวม
- พอร์ตหลักที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนระยะยาว
- มีการจัดน้ำหนักสินทรัพย์ตามความเสี่ยงที่รับได้
- เน้นลงทุนในกองทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงในหลากหลายภูมิภาค รวมถึงกองทุนรวมดัชนีต่างๆ
“เริ่มต้นจัด Core Portfolio”
นักลงทุนหลายๆ ท่านอาจคิดว่าการจัด Core Portfolio มีความซับซ้อน และมีความยาก ซึ่งทาง INVX จะขอนำเสนอการจัด Core Portfolio ที่ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน โดยขั้นตอนแรกเริ่มต้นจากการประเมินเป้าหมายการลงทุนของคุณและระดับความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้ จากนั้นเลือกสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงโดยทาง INVX ขอแบ่งออกเป็น 5 ระดับความเสี่ยงและแบ่งสัดส่วนการลงทุนออกตามระดับความเสี่ยงโดยมีรายละเอียดดังนี้
พอร์ตระดับความเสี่ยง 1
- กองทุนหุ้นโลก 10%
- กองทุนตราสารหนี้โลก 5%
- กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 25%
- สินทรัพย์สภาพคล่อง - ตราสารหนี้ระยะสั้น 60%
พอร์ตระดับความเสี่ยง 2
- กองทุนหุ้นโลก 30%
- กองทุนตราสารหนี้โลก 7%
- กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 40%
- สินทรัพย์สภาพคล่อง - ตราสารหนี้ระยะสั้น 20%
- สินทรัพย์ทางเลือก - ทองคำ 3%
พอร์ตระดับความเสี่ยง 3
- กองทุนหุ้นโลก 40%
- กองทุนตราสารหนี้โลก 10%
- กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 45%
- สินทรัพย์ทางเลือก - ทองคำ 5%
พอร์ตระดับความเสี่ยง 4
- กองทุนหุ้นโลก 60%
- กองทุนตราสารหนี้โลก 8%
- กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 25%
- สินทรัพย์ทางเลือก - ทองคำ 7%
พอร์ตระดับความเสี่ยง 5
- กองทุนหุ้นโลก 75%
- กองทุนตราสารหนี้โลก 5%
- กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 12%
- สินทรัพย์ทางเลือก - ทองคำ 8%
หลังจากเลือกระดับความเสี่ยงในการลงทุนที่รับได้แล้ว ขั้นตอนถัดไปก็คือการเลือกสินทรัพย์ในการลงทุนนำมาผสมผสานกันให้ได้ตามสัดส่วนที่แนะนำ และขั้นตอนสุดท้ายอย่าลืมติดตามและปรับปรุงพอร์ตการลงทุนของคุณเป็นระยะเพื่อให้พอร์ตการลงทุนสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงเพื่อเป้าหมายทางการเงินของคุณในอนาคต

INVX Top Pick: สำหรับ Core Portfolio
ตราสารทุน (หุ้นโลก) สามารถที่จะลงทุนเพียงกองทุนเดียวหรือจะกระจายการลงทุนมากกว่า 1 กองทุนก็ได้เช่นกัน เนื่องจากแต่ละกองทุนมีลักษณะการลงทุนในหุ้นโลกที่มีสไตล์ที่แตกต่างกัน และมีลักษณะกระจายการลงทุนในหลากหลายประเทศ เหมาะสำหรับถือลงทุนในระยะยาว
ซึ่งกองทุนที่เราแนะนำสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management ซึ่งได้แก่ K-GSELECT และกลุ่มกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Passive Management ได้แก่ KKP PGE-H
รายละเอียดกองทุนตราสารทุน (หุ้นโลก)
1) กองทุน K-GSELECT
- กองทุนหลัก JPMorgan Global Select Equity ETF มีนโยบายการลงทุนแบบ Core Equity เพื่อสร้างผลตอบแทนผ่านการคัดเลือกลงทุนในหุ้นโลกขนาดใหญ่คุณภาพสูงที่โดดเด่นในแต่ละช่วงเวลาจำนวน 70-100 ตัว เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีการกระจายตัวอย่างเหมาะสม
- กระบวนการสร้างพอร์ตที่ประกอบด้วยทีมนักวิเคราะห์กว่า 80 ท่านที่มีการวิเคราะห์หุ้นครอบคลุมกว่า 2,500 ตัว เพื่อเฟ้นหาหุ้นที่มีโอกาสในการเติบโตระยะยาว มีความน่าสนใจ และมี Valuation ที่ดีเมื่อเทียบกับกลุ่มเดียวกัน ผนวกกับทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์สูงในการคัดสรรหุ้นที่มีความน่าสนใจ ด้วยกระบวนการลงทุนที่สม่ำเสมอเพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับแต่ละสภาวะตลาด เพื่อคัดเลือกหุ้นสำหรับ Core Portfolio ที่ดีที่สุด พิสูจน์ผ่านผลการดำเนินงานระยะยาว
- ตัวอย่างหุ้นที่มีการลงทุนได้แก่ Microsoft บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก, Nvidia บริษัทผู้ผลิตชิปประมวลผลระดับโลก, Amazon.com บริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่สุดในโลก, Meta Platforms บริษัทด้านเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดีย, Mastercard บริษัทแพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก
- ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากองทุนตัวแทน (JPMorgan Global Select Equity Fund Class C) มีผลการดำเนินงานเฉลี่ย 14.9% ต่อปี เทียบกับดัชนี MSCI All Country World ที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 13.1% ต่อปี (as of 30 Apr 2025)
- มีให้เลือกทั้ง Class ที่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินคือ K-GSELECT และ Class ที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน FX Unhedged คือ K-GSELECTU-A(A)
2) กองทุน KKP PGE-H
- กองทุนหลัก iShares MSCI ACWI ETF (USD) ที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Passive โดยอ้างอิงดัชนีหุ้นโลก (MSCI ACWI Index) ที่มีการกระจายการลงทุนไปใน 23 ประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed Markets) และ 24 ประเทศที่กำลังพัฒนา (Emerging Markets)
- สัดส่วนหลักของพอร์ตการลงทุนจะกระจายอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มบริการทางด้านสุขภาพ
- เหมาะสำหรับใช้เป็น Core Portfolio สำหรับการลงทุนหุ้นโลกในระยะยาว เนื่องจากเป็นการกระจายการลงทุนไปในหลากหลายประเทศทั่วโลก ช่วยกระจายความเสี่ยงด้านการกระจุกตัว อีกทั้งยังมีกระจายการลงทุนในหุ้นกว่า 2,600 ตัว
- ตัวอย่างหุ้นที่มีการลงทุน ได้แก่ Apple ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีระดับโลก, Nvidia บริษัทผู้ผลิตชิปประมวลผลระดับโลก, Microsoft บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก, Amazon.com บริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่สุดในโลก, Meta Platforms บริษัทด้านเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดีย
- ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากองทุนหลักสามารถทำผลการดำเนินงานได้เฉลี่ยปีละ 13.1% (as of 30 Apr 2025)
- มีให้เลือกทั้ง Class ที่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินคือ KKP PGE-H และ Class ที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน FX Unhedged คือ KKP PGE-UH
สำหรับการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ สามารถที่จะกระจายการลงทุนใน 2 กองทุน โดยเราแบ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้โลกและตราสารหนี้ในประเทศ
รายละเอียดกองทุนตราสารหนี้
1) กองทุนตราสารหนี้โลก UGIS-N
- กองทุนหลัก PIMCO GIS Income ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงทั่วโลก โดยสามารถกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้หลากหลายประเภท ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนมีอันดับความน่าเชื่อถือเฉลี่ยระดับ AA- และมีอายุตราสารเฉลี่ยในพอร์ตการลงทุนประมาณ 4.61 ปี (as of 31 Jan 2025)
- ทีมผู้จัดการกองทุนหลักมีประสบการณ์สูงกว่า 30 ปี มีจุดเด่นด้านกลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่น โดยจะผสมผสานการวิเคราะห์เชิง Top-down และ Bottom-up เพื่อเฟ้นหาตราสารหนี้ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดให้กับพอร์ตการลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะทำการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด
- PIMCO GIS Income มีประวัติการจัดตั้งมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2012 จึงทำให้กองทุนผ่านมาแล้วในหลายวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา PIMCO GIS Income Fund สามารถสร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ย 4.8% ต่อปี (as of 30 Apr 2025)
- มีให้เลือกทั้ง Class ที่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินคือ UGIS-N และ Class ที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน FX Unhedged คือ UGISFX-N
2) กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ KFAFIX-A
- กองทุนเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง โดยมุ่งหวังให้อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารในพอร์ตอยู่ในระดับที่ลงทุนได้ และตราสารในพอร์ตมีอายุเฉลี่ยราว 2-3 ปี
- กองทุนสามารถเลือกลงทุนได้ในตราสารหนี้หลายประเภทอย่างอิสระ โดยจะเลือกลงทุนในทั้งตราสารภาครัฐฯ ตราสารภาคเอกชนที่มีคุณภาพดี และเงินฝาก/ตราสารหนี้ต่างประเทศเพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม
- ทีมผู้จัดการกองทุนมุ่งบริหารพอร์ตแบบเชิงรุก โดยสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้แต่ละชนิด และ Duration ของพอร์ตได้อย่างยืดหยุ่นระหว่าง 0-5 ปี ตามมุมมองการลงทุน
- ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากองทุนสามารถทำผลการดำเนินงานได้เฉลี่ยปีละ 2.0% (as of 30 Apr 2025)
สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์สภาพคล่อง เราแนะนำให้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น Short Term Fixed Income หรือกลุ่มกองทุนตราสารหนี้คุณภาพสูงที่มีอายุเฉลี่ยตราสารไม่เกิน 3 เดือน และมีระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+1
รายละเอียดกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น
กองทุน KFSPLUS-A
- เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นจากผู้ออกภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยจะเน้นลงทุนในตราสารที่มีคุณภาพสูง และมุ่งหวังให้อายุเฉลี่ยของตราสารในพอร์ตอยู่ที่ราว 1-6 เดือน
- กองทุนจะเลือกลงทุนในตราสารที่มีสภาพคล่องสูง และมีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับสูง เพื่อเน้นควบคุมความผันผวนให้อยู่ในระดับต่ำ และรักษาความสม่ำเสมอของผลตอบแทนรายวัน
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาแหล่งพักเงินระยะสั้น
- ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากองทุนสามารถทำผลการดำเนินงานได้เฉลี่ยปีละ 1.1% (as of 30 Apr 2025)
สำหรับการลงทุนในกองทุนทองคำ เราแนะนำให้ลงทุนในกองทุนทองคำที่มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก SPDR® Gold Shares (GLD)
รายละเอียดกองทุนทองคำ
กองทุน K-GOLD-A(A)
- กองทุนมีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก SPDR® Gold Shares (GLD) ซึ่งเป็นกองทุนรวม ETF ที่มีการลงทุนในทองคำแท่งโดยตรง
- กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนแบบ Passive Management โดยจะอ้างอิงกับราคาทองคำในตลาดโลก (LBMA Gold Price)
- ทั้งนี้ กองทุนหลักถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้นักลงทุนทั่วไปเข้าถึงการลงทุนในทองคำได้ง่ายมากขึ้น และมีค่าใช้จ่ายถูกลง
- กองทุน K-GOLD-A(A) ไม่มีค่าธรรมเนียมในการซื่อ-ขาย และมีอัตราค่าใช้จ่ายรวมต่ำเพียง 0.99% ต่อปี (as of 16 Jan 2025)
- สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนแบบไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน สามารถรถเลือกลงทุนได้ในกองทุน BGOLD
- ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากองทุนสามารถทำผลการดำเนินงานได้เฉลี่ยปีละ 13.7% (as of 30 Apr 2025)
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่บล.อินโนเวสท์เอกซ์