Keyword
ลงทุนก้าวแรก

10 ทางเลือกลงทุนเพื่อปันผลแบบเข้าใจง่าย สำหรับมือใหม่

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|5 Aug 25 2:23 PM
Wealth2
สรุปสาระสำคัญ

💰 10 ทางเลือกลงทุน "สายรับปันผล" แบบเข้าใจง่าย สำหรับมือใหม่
หากคุณต้องการให้เงินลงทุนสร้างรายได้ประจำ เช่น รายเดือน รายไตรมาส หรือปีละหนึ่งครั้ง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก 10 ทางเลือกยอดนิยมในการลงทุนเพื่อรับปันผล โดยเรียงลำดับจากทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดไปจนถึงตัวเลือกที่มีความเสี่ยงมากขึ้นแต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

1. T-Bill ETF พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น
T-Bill ETF เป็นกองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น เช่น SGOV (iShares 0-3 Month Treasury Bond ETF) หรือ BIL (SPDR Bloomberg Barclays 1-3 Month T-Bill ETF) ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำมาก เพราะถือเป็นการให้รัฐบาลที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลกยืมเงิน ผลตอบแทนหรือยีลด์จะอยู่ที่ประมาณ 4–5% ต่อปี และมักจ่ายเงินให้ผู้ลงทุนทุกเดือน อย่างไรก็ตาม ยีลด์ของ T-Bill จะปรับขึ้นลงตามอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หาก Fed ปรับลดดอกเบี้ย ยีลด์ของ T-Bill ก็จะลดลงตามไปด้วยเช่นกัน

 

2. ลงทุนในหุ้นปันผลไทยคุณภาพดีโดยตรง
สำหรับนักลงทุนไทย การลงทุนในหุ้นปันผลที่มั่นคงอย่าง SCB, TISCO หรือ LH เป็นตัวเลือกที่เข้าใจง่าย เพราะเป็นบริษัทที่เราคุ้นเคยและติดตามข่าวสารได้ง่าย ปันผลจากหุ้นไทยมักจะจ่ายปีละครั้งหรือสองครั้ง ยีลด์อยู่ในระดับที่น่าสนใจราว 6–8% ต่อปี แต่ก็ต้องเข้าใจว่าราคาหุ้นสามารถผันผวนได้ตามสภาวะตลาด และควรเลือกหุ้นที่จ่ายปันผลจากกำไรจริง ไม่ใช่แค่แสดงผลกำไรทางบัญชี

 

3. สร้างรายได้รายเดือนจาก Covered Call ETF
กองทุนแบบ Covered Call ETF เช่น JEPI (JPMorgan Equity Premium Income ETF) หรือ JEPQ (JPMorgan Nasdaq Equity Premium Income ETF) ใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างจากกองทุนทั่วไป โดยกองทุนจะถือหุ้นแล้วนำสิทธิเหล่านั้นไปขายในตลาดอนุพันธ์เป็น Call Options เพื่อสร้างรายได้เสริมจากค่าพรีเมียม ซึ่งทำให้สามารถจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยได้ทุกเดือน กองทุนแบบนี้ให้ยีลด์ราว 8–12% ต่อปี และมีความผันผวนน้อยกว่าการถือหุ้นโดยตรง แต่ข้อเสียคือเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นแรง เราอาจไม่ได้รับผลตอบแทนเต็มที่เพราะได้ขายสิทธิทำกำไรบางส่วนไปแล้ว


นอกจากนี้ ยังสามารถใช้วิธี Short Call SET50 Options ผ่านตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของไทยได้ ตามบทความที่เคยเขียนแนะนำไปแล้วนี้ https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/investsnack/product-basic-knowledge/tfex-derivatives/derivatives-20250717


4. เติบโตไปพร้อมกันกับหุ้นปันผลอเมริกัน
ETF ที่เน้นลงทุนในหุ้นปันผลของสหรัฐฯ เช่น VYM (Vanguard High Dividend Yield ETF), SCHD (Schwab US Dividend Equity ETF) หรือ VIG (Vanguard Dividend Appreciation ETF) เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่รีบใช้เงิน เพราะแม้จะมีอัตราปันผลเริ่มต้นเพียง 2–4% ต่อปี แต่บริษัทเหล่านี้มักมีประวัติการจ่ายและเพิ่มปันผลอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน บางบริษัทจ่ายปันผลเพิ่มทุกปีติดต่อกันมากกว่า 25 ปี การลงทุนแบบนี้จึงเหมาะกับคนที่ต้องการให้เงินต้นเติบโตไปพร้อมกับรายได้จากปันผลในระยะยาว


5. กระแสเงินสดจากอสังหาริมทรัพย์ผ่าน REITs
REITs หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เช่น Realty Income, VNQ หรือ REIT ไทย เช่น Prospect REIT เป็นตัวเลือกที่ช่วยให้คุณลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ต้องซื้อที่ดินหรืออาคารเอง รายได้ของ REITs มาจากค่าเช่าที่ได้รับจากผู้เช่า ซึ่งมักมีความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง กองทุนเหล่านี้มักจ่ายเงินรายเดือนหรือรายไตรมาส ยีลด์อยู่ที่ประมาณ 4–6% ต่อปี อย่างไรก็ตาม เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนอาจลดการถือครอง REITs และหันไปหาตราสารหนี้แทน ทำให้ราคาของ REITs อาจปรับตัวลดลงได้


6. รายได้จากโครงสร้างพื้นฐานผ่าน Infrastructure Fund ไทย
กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น DIF ซึ่งลงทุนในเสาส่งสัญญาณโทรคมนาคม และ TFFIF ที่ลงทุนในทางด่วน ให้ผลตอบแทนจากค่าเช่าระยะยาวที่ค่อนข้างแน่นอน ยีลด์อยู่ในช่วงประมาณ 8–11% ต่อปีและจ่ายเงินทุกครึ่งปี ถือว่าเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงและเหมาะกับผู้ที่ต้องการรายได้ประจำจากทรัพย์สินจริงในประเทศ อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวสัญญาเช่าใกล้หมดอายุ นักลงทุนควรระวังความไม่แน่นอนเรื่องการต่ออายุสัญญาและอัตราค่าเช่าใหม่ในอนาคต


7. สายกลางที่มั่นคงกว่าหุ้น ด้วยตราสารหนี้คุณภาพสูง
การลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีผ่าน ETF อย่าง LQD (iShares iBoxx $ Investment Grade Corporate Bond ETF) หรือ HYG (iShares iBoxx $ High Yield Corporate Bond ETF) เป็นอีกทางเลือกที่ผสมผสานระหว่างความมั่นคงและผลตอบแทน ยีลด์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4–6% ต่อปี โดยจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ลงทุนเป็นรายเดือน ETF เหล่านี้ลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทที่มีสถานะการเงินแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม หากดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ราคาของตราสารหนี้จะลดลงโดยอัตโนมัติ และถ้าบริษัทใดบริษัทหนึ่งมีปัญหาทางการเงิน ก็อาจเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ได้เช่นกัน


8. รับดอกเบี้ยสูงจากการให้กู้ธุรกิจผ่าน BDC
บริษัทประเภท Business Development Company หรือ BDC เช่น Ares Capital Corporation (ARCC) และ Main Street Capital Corporation (MAIN) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีหน้าที่ให้เงินกู้แก่ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก โดยส่วนใหญ่จะเรียกดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าธนาคารทั่วไป ทำให้สามารถจ่ายปันผลสูงในอัตราประมาณ 8–10% ต่อปี รายได้มักจ่ายรายไตรมาสหรือรายเดือน จุดเด่นของ BDC คือกฎหมายกำหนดให้ต้องจ่ายผลกำไรเกือบทั้งหมดกลับไปยังผู้ถือหุ้นเพื่อให้ได้รับยกเว้นภาษีนิติบุคคล แต่ความเสี่ยงหลักคือในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ธุรกิจลูกหนี้อาจผิดนัดชำระ ทำให้ BDC ต้องตั้งสำรองและจ่ายเงินปันผลลดลงได้


9. กระจายความเสี่ยงด้วยหุ้นปันผลทั่วโลก
ETF อย่าง VYMI (Vanguard International High Dividend Yield ETF) หรือ IDV (iShares International Select Dividend ETF) ลงทุนในหุ้นปันผลจากบริษัทชั้นนำทั่วโลก ทั้งในยุโรป เอเชีย และตลาดเกิดใหม่หลายประเทศ ยีลด์เฉลี่ยประมาณ 4–5% ต่อปี โดยจ่ายเงินเป็นรายไตรมาส การกระจายการลงทุนลักษณะนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ก็มีข้อควรระวังคือ อาจต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากประเทศต้นทาง และต้องรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะเมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จะทำให้ผลตอบแทนลดลงในรูปเงินบาท


10. ยีลด์แรงสุดจาก YieldMax ETF แต่ต้องระวัง
ETF กลุ่ม YieldMax เช่น YMAX (YieldMax™ Universe Fund of Option Income ETFs), YMAG (YieldMax™ Magnificent 7 Fund of Option Income ETFs) หรือ TSLY (YieldMax TSLA Option Income Strategy ETF) โฆษณาผลตอบแทนสูงลิ่วระดับ 50–60% ต่อปี และจ่ายเงินรายเดือนหรือแม้แต่รายสัปดาห์ แต่เบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้คือการจ่ายเงินปันผลในรูปแบบของ Return of Capital หรือ ROC ซึ่งแปลว่า ETF จ่ายเงินต้นคืนกลับมาให้ผู้ลงทุน ไม่ใช่กำไรจริง นั่นหมายความว่าราคา NAV ของกองทุนจะค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ จึงเหมาะกับคนที่ต้องการเงินสดทันทีและยอมรับได้ว่าเงินต้นจะหายไปตามเวลา ไม่เหมาะกับการถือระยะยาว


เสริมทางเลือกใหม่: DR ต่างประเทศแบบง่ายๆ ด้วย HSHD23


สำหรับนักลงทุนไทยที่อยากลงทุนต่างประเทศแต่ไม่ถนัดเรื่องค่าเงินหรือภาษีต่างชาติ ทางเลือกที่น่าสนใจคือ Depositary Receipt หรือ DR ซึ่งคือหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดหุ้นไทย แต่มีสินทรัพย์อ้างอิงในต่างประเทศ DR อย่าง HSHD23 เป็นตัวอย่างที่ดี โดยอ้างอิงกับกองทุน GlobalX Hang Seng High Dividend Yield ETF (3110.HK) ซึ่งลงทุนในหุ้นปันผลสูงของฮ่องกง นักลงทุนซื้อขาย HSHD23 ด้วยเงินบาทในตลาดหุ้นไทยเหมือนหุ้นทั่วไป ได้รับปันผลเป็นเงินบาท ยีลด์อยู่ในระดับประมาณ 6–8% ต่อปี เหมาะมากสำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มลงทุนต่างประเทศอย่างมั่นใจ


สิ่งสำคัญที่ควรรู้ก่อนลงทุนเพื่อปันผล


ก่อนตัดสินใจลงทุน สิ่งแรกที่ควรตรวจสอบคือเงินปันผลนั้นมาจากกำไรจริงของธุรกิจหรือไม่ หากมาจากการกู้เงินหรือขายทรัพย์สินมาจ่ายปันผล อาจสะท้อนถึงปัญหาทางการเงินของกิจการ และไม่ยั่งยืนในระยะยาว อีกสิ่งหนึ่งที่ควรดูคืออัตราการจ่ายปันผลเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ ถ้าสูงเกิน 80–90% บริษัทอาจไม่มีเงินเหลือไว้ลงทุนขยายกิจการ ซึ่งจะกระทบกับการเติบโตในอนาคต


นอกจากนี้ อย่าให้ตัวเลขยีลด์ที่สูงเกินไปมาล่อตา เพราะยีลด์สูงมักมาพร้อมกับความเสี่ยงสูงเสมอ มือใหม่ควรเริ่มจากทางเลือกที่ปลอดภัยและเข้าใจง่าย แล้วค่อยๆ ขยับไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้นเมื่อมีความรู้และประสบการณ์มากพอ และที่สำคัญที่สุดคือการกระจายความเสี่ยง ไม่ลงเงินทั้งหมดในที่เดียว เพื่อให้รายได้จากปันผลนั้นมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

 

Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5