ลงทุนก้าวแรก

DR23 หรือบัญชีต่างประเทศ: เลือกช่องทางลงทุนต่างประเทศที่เหมาะกับพอร์ตของคุณ

11 Dec 25 2:05 PM
Technical 2

DR23 คืออะไร

DR23 (Depositary Receipt 23) คือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ภายใต้กลุ่ม SCBX เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยลงทุนในหุ้นและ ETF ต่างประเทศ ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยซื้อขายเป็นเงินบาทได้เหมือนหุ้นไทยตัวหนึ่ง แต่ราคาของ DR23 ในระยะยาวจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับหลักทรัพย์อ้างอิงที่จดทะเบียนในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง จีน หรือญี่ปุ่น ปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยน

 

ในเชิงโครงสร้าง InnovestX ในฐานะผู้ออก DR23 จะไปซื้อหุ้นหรือ ETF ต่างประเทศที่ผ่านการคัดเลือก เช่น Global X Hang Seng High Dividend Yield ETF, CATL, Alibaba หรือ Invesco Great Wall ChiNext 50 ETF แล้วนำมาทำเป็นหลักทรัพย์อ้างอิง และออกเป็น DR บนตลาดหุ้นไทยภายใต้ชื่อย่อที่ลงท้ายด้วย “23” เช่น HSHD23, CATL23, BABA23 หรือ CHNXT5023 ให้นักลงทุนไทยซื้อขายได้สะดวกบนกระดาน SET

 

DR23 หรือ DR ซื้อขายบนกระดาน SET ตามเวลาเปิด–ปิดของตลาดหุ้นไทย คือประมาณ 10.00–16.30 น. และไม่มีพักเที่ยงสำหรับหมวด DR ทำให้สามารถส่งคำสั่งซื้อขายต่อเนื่องตลอดทั้งวันผ่านแอป Streaming โดยใช้บัญชีหุ้นไทยเดิมที่นักลงทุนมีอยู่ ไม่ต้องเปิดบัญชีต่างประเทศเพิ่ม

 

ในมุมภาษี DR ได้รับการปฏิบัติใกล้เคียงหุ้นไทย คือกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gains) ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะที่เงินปันผลที่ได้จาก DR จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% ตามเกณฑ์ของหุ้นที่จดทะเบียนในไทยและผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเดียวกัน

 

การลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยตรงคืออะไร

การลงทุนโดยตรง หมายถึงนักลงทุนเปิดบัญชีต่างประเทศหรือบัญชี Global กับโบรกเกอร์ที่รองรับ จากนั้นโอนเงินบาทไปแลกเป็นสกุลเงินปลายทาง เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ฮ่องกงดอลลาร์ เยน แล้วใช้สกุลเงินนั้นไปซื้อหุ้นหรือ ETF บนตลาดต่างประเทศจริงๆ ตามกฎเกณฑ์และเวลาซื้อขายของตลาดปลายทาง

 

นักลงทุนมักต้องกรอกเอกสารภาษีต่างประเทศ (เช่น แบบฟอร์ม W-8BEN สำหรับตลาดสหรัฐ) ทำความเข้าใจเรื่องค่าโอนเงิน อัตราแลกเปลี่ยน มาร์จิ้น และเงื่อนไขผลิตภัณฑ์ของแต่ละตลาด รวมถึงต้องวางแผนเรื่องภาษีรายได้จากต่างประเทศเองเมื่อมีการนำเงินกลับเข้ามาในประเทศไทย ตามเกณฑ์ใหม่ของกรมสรรพากรที่กำหนดว่า “รายได้จากต่างประเทศที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป เมื่อนำกลับเข้าไทยปีไหน ให้เสียภาษีปีนั้น” หากผู้มีเงินได้เข้าเกณฑ์เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต

 

ข้อดีของการลงทุนตรงคือ เข้าถึงหุ้นและETF ได้กว้าง เลือกได้เกือบทุกตัวในตลาดนั้น และในบางแพลตฟอร์มอาจใช้เครื่องมือ เช่น Option, Margin, หรือการขายชอร์ตได้ ขึ้นอยู่กับกฎของโบรกเกอร์และประเทศปลายทาง

 

เปรียบเทียบ DR vs ลงทุนตรง

  1. ความสะดวกและขั้นตอน

ถ้ามองจากความง่ายในการเริ่มต้น ลงทุน DR ค่อนข้างตรงไปตรงมา นักลงทุนที่มีบัญชีหุ้นไทยอยู่แล้วสามารถซื้อขาย DR ได้เลย ไม่ต้องเปิดบัญชีใหม่ ไม่ต้องจัดการโอนเงินออกนอกประเทศ และไม่ต้องกรอกเอกสารภาษีต่างประเทศ

 

ส่วนการลงทุนโดยตรง นักลงทุนต้องเปิดบัญชี Global หรือ Offshore ทำ KYC กับโบรกเกอร์ต่างประเทศ ตั้งค่าบัญชีรับ–โอนเงิน ศึกษาวิธีแลกเงินข้ามสกุล และวิธีถอนกลับมาประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ทั้งเวลาและความใส่ใจในการจัดการมากกว่าพอสมควร เหมาะกับคนที่ตั้งใจจะใช้ตลาดต่างประเทศเป็นบัญชีหลักของพอร์ตลงทุน

  1. ต้นทุน ค่าธรรมเนียม และภาษี

การลงทุนผ่าน DR ต้นทุนหลักคือค่าคอมมิชชั่นซื้อขายหุ้นไทยปกติ และอาจมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยที่ผู้ออก DR หักจากเงินปันผลเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินการ เช่น ค่าธรรมเนียมแปลงสกุลเงินหรือค่าธรรมเนียมรับเงินปันผลจากต่างประเทศ ซึ่งจะระบุไว้ในเงื่อนไขของผู้ออก DR

 

ในมุมภาษี DR มีจุดเด่นตรงที่กำไรจากการขาย DR ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย ขณะที่การลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยตรง หากมีกำไรจากการขายหลักทรัพย์หรือได้รับเงินปันผลจากต่างประเทศ แล้วนำเงินได้เหล่านี้กลับเข้ามาในไทย จะต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามเกณฑ์ใหม่ของกรมสรรพากรที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไปสำหรับผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยตามเกณฑ์ 180 วัน ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต

 

ในเชิงอัตราแลกเปลี่ยน DR23 ยังมีข้อได้เปรียบ เพราะการแปลงสกุลเงินไป–กลับระหว่างเงินบาทกับสกุลเงินของหลักทรัพย์อ้างอิงจะดำเนินการผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ในลักษณะธุรกรรมขนาดใหญ่ระดับสถาบัน ทำให้โดยทั่วไปได้อัตราแลกเปลี่ยนในระดับ wholesale ที่มาร์จิ้นแคบกว่าเมื่อเทียบกับการที่นักลงทุนรายย่อยที่แลกเงินเองทีละไม่มาก ส่งผลให้ต้นทุน FX ต่อหน่วยของการลงทุนผ่าน DR23 มักต่ำกว่าการโอนเงินออกไปลงทุนโดยตรง แม้อัตราแลกเปลี่ยนในแต่ละช่วงเวลายังคงขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดในขณะนั้นก็ตาม

  1. เวลาเทรดและสภาพคล่อง

สำหรับ DR นักลงทุนซื้อขายผ่านตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาเปิดทำการของ SET คือ 10.00–16.30 น. โดย DR ไม่มีพักกลางวัน ทำให้สามารถเทรดต่อเนื่องระหว่างเช้าและบ่ายได้ตลอดทั้งวัน ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเทรด คือช่วงที่ตลาดหุ้นไทยและตลาดต่างประเทศที่เป็นต้นทางของ DR เปิดทำการซ้อนกัน เช่น DR ที่อิงหุ้นฮ่องกง ญี่ปุ่น หรือจีนแผ่นดินใหญ่ ช่วงที่ตลาดปลายทางเปิดพร้อมกับ SET มักเป็นช่วงที่ราคา DR สะท้อนราคาหุ้นแม่ได้ใกล้เคียงที่สุด และโดยทั่วไปสภาพคล่องจะดีกว่า เพราะผู้ดูแลสภาพคล่องสามารถไปทำรายการที่ตลาดปลายทางได้ในช่วงเวลานั้น สามารถศึกษาเวลาเทรดที่เหมาะสมของ DR23 ได้ในลิงก์นี้ 👈

 

ขณะที่การลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยตรง ข้อดีคือสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้เต็มช่วงเวลาเปิดทำการของตลาดปลายทางโดยไม่ต้องรอให้ตรงกับเวลาที่ตลาดไทยเปิด ทำให้มีชั่วโมงเทรดต่อวันยาวกว่า DR

 

ในทางกลับกัน หากเทรด DR ในช่วงที่ตลาดต่างประเทศปิดไปแล้ว ราคา DR จะอิงกับแรงซื้อขายในฝั่งนักลงทุนไทยเป็นหลัก และผู้ดูแลสภาพคล่องอาจดูแลได้จำกัดมากขึ้น เพราะไม่สามารถไปซื้อขายหุ้นอ้างอิงเพิ่มเติมในตลาดต้นทางได้ทันที ช่วงแบบนี้จึงมีโอกาสเกิดส่วนต่างราคาและสเปรดกว้างขึ้น นักลงทุนควรตระหนักว่าช่วงเวลาซื้อขายมีผลต่อทั้ง “คุณภาพราคา” และสภาพคล่องของ DR โดยตรง

 

ส่วนการลงทุนตรง สภาพคล่องอ้างอิงจากตลาดต่างประเทศเต็มๆ หุ้นหรือ ETF ขนาดใหญ่ในสหรัฐ ฮ่องกง หรือญี่ปุ่นมักมีคำสั่งซื้อขายหนาแน่น สเปรดแคบ ในภาพรวมภาพสภาพคล่องจึงมักดีกว่า DR เพราะคำสั่งซื้อขายเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดต้นทางเปิดทำการจริงตลอดทั้งเซสชัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นต่างประเทศทุกตัวจะมีสภาพคล่องดีเสมอ หุ้นขนาดเล็ก หุ้นที่ไม่ค่อยมีคนเทรด หรือ ETF เฉพาะทางบางตัวอาจมีสภาพคล่องบางและสเปรดกว้างไม่ต่างจาก DR เหมือนกัน เพียงแต่ความผันผวนจะเกิดในสกุลเงินต่างประเทศและในช่วงเวลาที่ตลาดปลายทางเปิด

 

  1. ขนาดพอร์ตและเงินเริ่มต้น

DR เอื้อต่อการทยอยสะสมมากกว่า เพราะซื้อขายเป็นเงินบาท ใช้เงินเริ่มต้นไม่สูง สามารถซื้อทีละจำนวนหน่วยที่เหมาะกับพอร์ตโดยไม่ต้องแลกเงินก้อนใหญ่ไปต่างประเทศ ราคาต่อหน่วยอยู่ในระดับต่ำ ทำให้นักลงทุนสามารถเริ่มต้นเทรดและทยอยสะสมได้ตั้งแต่ระดับ 1 บาท ช่วยให้คนที่เพิ่งเริ่มลงทุนต่างประเทศ “ลองน้ำ” ได้ทีละนิดโดยโครงสร้างไม่ซับซ้อนมาก และคุมขนาดการลงทุนแต่ละครั้งได้ยืดหยุ่นกว่า

 

การลงทุนตรงมักจะคุ้มกับคนที่พร้อมจะลงเงินเป็นก้อน หรือมีแผนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนต่างประเทศอย่างจริงจัง เพราะเมื่อรวมค่าธรรมเนียมโอนเงิน ค่า FX และค่าคอมมิสชันการซื้อขายในต่างประเทศแล้ว การส่งเงินออกไปทีละจำนวนเล็กๆ บ่อยๆ อาจทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงเกินเหตุ ขนาดการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนต่างประเทศโดยตรงจึงมักอยู่ในระดับหลักแสนบาทขึ้นไป เพื่อเฉลี่ยต้นทุนคงที่ต่างๆ ให้มีสัดส่วนต่อเม็ดเงินลงทุนที่สมเหตุสมผลมากกว่า

 

  1. ขอบเขตการลงทุนและเครื่องมือที่ใช้ได้

จุดที่การลงทุนตรงได้เปรียบชัดเจนคือ ความกว้างของจักรวาลการลงทุน DR ให้เราเข้าถึงเฉพาะหุ้น/ETF/REIT ที่มีผู้ออก DR นำมาทำผลิตภัณฑ์และได้รับอนุมัติจาก ก.ล.ต. เท่านั้น ทำให้เราลงทุนได้เฉพาะชุดที่มีคนคัดเลือกมาแล้ว

 

ส่วนการลงทุนตรง นักลงทุนสามารถเลือกหุ้นแทบทุกตัวในตลาดปลายทาง พอร์ตจึงออกแบบได้อิสระกว่า และในหลายแพลตฟอร์มสามารถใช้อนุพันธ์ มาร์จิ้น หรือกลยุทธ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์สูงและเข้าใจความเสี่ยงของเครื่องมือเหล่านี้อย่างดีอยู่แล้ว

 

ความเสี่ยงของ DR และการลงทุนตรง

  1. ความเสี่ยงของ DR และการลงทุนตรงที่เหมือนกัน

ไม่ว่าจะซื้อผ่าน DR หรือซื้อหุ้นต่างประเทศโดยตรง นักลงทุนต้องเผชิญความเสี่ยงหลักเหมือนกันอยู่แล้ว ได้แก่ ความผันผวนของราคาหุ้นหรือ ETF ต้นทาง ความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่กระทบกับมูลค่าเมื่อคิดเป็นเงินบาท รวมถึงความเสี่ยงอื่นๆ เช่น นโยบายภาครัฐ กฎระเบียบใหม่ หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตลาดปลายทาง

 

ในเชิงเศรษฐศาสตร์ ทั้งสองวิธีคือการถือ “สินทรัพย์ต่างประเทศ” เพียงแต่โครงสร้างตัวกลางต่างกัน

  1. ความเสี่ยงของ DR

สำหรับ DR นอกจากความเสี่ยงของหุ้นแม่และ FX แล้ว ยังมีอีกชั้นคือความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ “ผู้ออก DR” ที่เป็นผู้ถือครองหลักทรัพย์อ้างอิงแทนเรา ถ้าระบบหรือกระบวนการของผู้ออกมีปัญหา อาจกระทบต่อเวลาและความถูกต้องของการส่งผ่านสิทธิประโยชน์ เช่น เงินปันผลหรือสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ถึงแม้ในทางปฏิบัติผู้ออก DR จะอยู่ภายใต้กำกับดูแลของหน่วยงานกำกับไทยและต้องจัดการทรัพย์สินของผู้ลงทุนแยกจากทรัพย์สินของบริษัทอย่างชัดเจนก็ตาม

 

DR แต่ละตัวก็มีข้อจำกัดด้านสภาพคล่องที่ต่างกัน DR ที่คนรู้จักดี มีนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันเข้ามาซื้อขายมาก สเปรดจะบางและราคาขยับลื่น แต่ DR ที่เพิ่งออกใหม่หรือธีมเฉพาะทางมากๆ สภาพคล่องอาจบาง สเปรดกว้าง และอาจแกว่งแรงเมื่อมีคำสั่งขนาดใหญ่เข้ามา นักลงทุนจึงควรดูทั้งมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน และพิจารณาช่วงเวลาซื้อขายให้สอดคล้องกับเวลาที่ตลาดต้นทางเปิดทำการด้วย

  1. ความเสี่ยงของการลงทุนตรง

ในฝั่งการลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยตรง ความเสี่ยงหลายอย่างถูกโยกมาอยู่ในมือของนักลงทุนเองมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องภาษี รายได้จากต่างประเทศ เช่น กำไรจากการขายหุ้น เงินปันผล หรือดอกเบี้ย เมื่อเข้าหลักเกณฑ์ทั้งในแง่เวลาที่เกิดขึ้น และสถานะการเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยตามกฎหมาย จะต้องนำมารวมยื่นภาษีเมื่อมีการนำเงินกลับเข้ามาในไทย นักลงทุนจึงต้องเก็บข้อมูลและวางแผนภาษีอย่างจริงจัง

 

ความเสี่ยงเชิงปฏิบัติการก็สำคัญเหมือนกัน เช่น การโอนเงินไปต่างประเทศผิดบัญชี เลือกอัตราแลกเปลี่ยนไม่เหมาะสม การใช้มาร์จิ้นโดยไม่เข้าใจความผันผวนจริง และความผิดพลาดจากการส่งคำสั่งในช่วงเวลาที่ตลาดต่างประเทศเปิดซึ่งอาจอยู่ในช่วงกลางคืนของไทย ถ้าไม่วางระบบแจ้งเตือนหรือ Stop Order ไว้ ก็มีโอกาสพลาดจังหวะสำคัญได้ง่าย

 

ใครเหมาะกับ DR และใครเหมาะกับลงทุนตรง

ถ้าคุณต้องการ “ความง่าย” เป็นหลัก อยากกระจายพอร์ตไปยังต่างประเทศ ใช้บัญชีหุ้นไทยเดิม ซื้อขายเป็นเงินบาท ไม่อยากจัดการเรื่องโอนเงินข้ามประเทศและภาษีต่างประเทศด้วยตัวเอง DR เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์มาก ทั้งในแง่โครงสร้างภาษีที่เรียบง่าย การซื้อขายในเวลาเดียวกับหุ้นไทย และการมีช่วงเวลาซ้อนกันกับตลาดต้นทางที่ทำให้สภาพคล่องและราคาของ DR ทำงานได้ใกล้เคียงหุ้นแม่

ในอีกมุมหนึ่ง ถ้าคุณมีพอร์ตที่ใหญ่ขึ้น มีประสบการณ์พอตัว รู้สึกว่าตัวเองอยากควบคุมได้ทุกดีเทล ตั้งแต่การเลือกหุ้นทุกตัวในตลาด การใช้อนุพันธ์ มาร์จิ้น หรือกลยุทธ์เชิงซ้อน และพร้อมจะจัดการเรื่องเอกสาร ภาษี และอัตราแลกเปลี่ยนด้วยตัวเอง การลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยตรงจะเปิดพื้นที่และอิสระให้คุณได้เต็มที่มากกว่าในระยะยาว

 

สุดท้ายนักลงทุนไม่จำเป็นต้องเป็นการเลือกข้างเสมอไป หลายนักลงทุนใช้ DR เป็นจุดเริ่มต้น ทำความคุ้นเคยกับบริษัทและธีมการลงทุนต่างประเทศก่อน แล้วค่อยขยับไปลงทุนตรงเมื่อพอร์ตใหญ่ขึ้น ความรู้เพิ่มขึ้น และพร้อมรับภาระการจัดการที่มากขึ้น การเข้าใจข้อดี–ข้อเสียของทั้งสองทางเลือกอย่างชัดเจน จะช่วยให้คุณออกแบบเส้นทางการลงทุนต่างประเทศในแบบที่เหมาะกับตัวเองจริงๆ

 

 

สนใจลงทุนใน DR23 และหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน

 

คลิกเลย! 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5