Alphabet Inc. (NASDAQ: GOOGL, GOOG) บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกัน ที่จดทะเบียนใน NASDAQ ไม่ได้เป็นเพียงเจ้าของ Google Search ที่ผู้คนทั่วโลกใช้ค้นหาข้อมูล แต่ยังเป็นผู้นำด้าน AI และ Cloud Computing ซึ่งหมายถึงการให้บริการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องมีเซิร์ฟเวอร์หรือระบบของตัวเอง แค่มีอินเทอร์เน็ตก็สามารถเข้าถึงบริการได้ ด้วยความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีแบบครบวงจร ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานและโมเดล AI ไปจนถึงบริการที่รองรับผู้ใช้งานนับพันล้านคนทั่วโลก Alphabet จึงสามารถครองตำแหน่งผู้นำในตลาดโฆษณาออนไลน์ และเดินหน้าขยายสู่ธุรกิจยุคใหม่อย่างต่อเนื่อง
Alphabet Inc. เริ่มต้นจาก Google ซึ่งก่อตั้งโดย Larry Page และ Sergey Brin ในปี 1998 จากโครงการ BackRub ที่พัฒนาระบบจัดอันดับเว็บไซต์ จนกลายเป็น Google Search ที่เปลี่ยนวิธีค้นหาข้อมูลบนโลกออนไลน์
ช่วงปี 2000–2004 Google เปิดตัว AdWords (โฆษณาบนหน้าค้นหา) และ AdSense (โฆษณาบนเว็บไซต์พันธมิตร) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรายได้หลัก ก่อนจะเข้าตลาดหุ้น NASDAQ ในปี 2004 และเริ่มขยายสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ Gmail, Google Maps, YouTube, Chrome และ Android OS ซึ่งกลายเป็นระบบมือถือที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก
ปี 2015 Google ปรับโครงสร้างเป็น Alphabet Inc. โดยแยกธุรกิจหลักออกจากโครงการพิเศษอื่นๆ เช่น Waymo (รถยนต์ไร้คนขับ), Calico (การวิจัยด้านอายุยืน) และ X Development (ห้องปฏิบัติการนวัตกรรม) เพื่อการบริหารที่คล่องตัวมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา Alphabet เร่งลงทุนใน AI และ Machine Learning เปิดตัว Google Assistant, Google Cloud, และสนับสนุน DeepMind ที่พัฒนา AI ระดับโลกอย่าง AlphaGo รวมถึง AI รุ่นใหม่อย่าง LaMDA, PaLM และ Gemini ที่สามารถประมวลผลข้อมูลหลายรูปแบบ (multimodal) และเข้าใจภาษาใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น
Alphabet มีโครงสร้างรายได้หลักแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก:
1. Google Services -87% ของรายได้รวม
ธุรกิจหลักที่ครอบคลุม Google Search, YouTube, Google Maps, Gmail, Android, Chrome และการโฆษณาออนไลน์ รวมถึงบริการสมาชิกต่างๆ อย่าง YouTube Premium, YouTube TV, YoutubeMusic, Google One และ Google Play Store กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล
2. Google Cloud -12% ของรายได้รวม
ธุรกิจบริการคลาวด์ที่ครอบคลุม Google Cloud Platform, Google Workspace, และบริการ AI สำหรับองค์กร กลุ่มธุรกิจนี้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการใช้ระบบคลาวด์และ AI ในการทำงานขององค์กรต่างๆ โดยเฉพาะหลังยุค COVID-19 ที่เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ Digital Transformation
3. Other Bets -1% ของรายได้รวม
ธุรกิจทดลองและนวัตกรรมอนาคต เช่น Waymo (รถยนต์ไร้คนขับ), Verily (เทคโนโลยีสุขภาพ), Wing (โดรนส่งของ) และ Calico (การวิจัยด้านอายุยืน) แม้จะมีสัดส่วนรายได้น้อย แต่มีศักยภาพสูงในการสร้างตลาดใหม่และรายได้ในอนาคต
Alphabet วางกลยุทธ์การเติบโตผ่านการพัฒนา AI แบบครบวงจร (Full-Stack AI) ที่ครอบคลุมตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงแอปพลิเคชันผู้ใช้ปลายทาง การลงทุนในศูนย์ข้อมูลและการพัฒนาชิป Tensor Processing Units (TPUs) ชิปที่ Google สร้างขึ้นมาเพื่อให้ระบบ AI ทำงานเร็วขึ้น ทำให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ AI ได้
จุดแข็งที่โดดเด่นคือ ecosystem ที่เชื่อมต่อกันของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบริการเติบโตและพัฒนาต่อเนื่องจากข้อมูลผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น ข้อมูลจากการใช้งาน Google Search, YouTube, Gmail และ Android ช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาและปรับปรุง AI models ได้อย่างต่อเนื่อง การเปิดตัว Gemini AI models ที่สามารถเข้าใจและประมวลผลข้อมูลแบบ multimodal (ข้อความ, รูปภาพ, เสียง, วิดีโอ) ทำให้ Alphabet มีความได้เปรียบในการแข่งขันด้าน AI เมื่อเทียบกับคู่แข่ง
เทียบกับ Microsoft (MSFT) ในสหรัฐอเมริกา: Microsoft เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ให้บริการ Windows, Microsoft 365, คลาวด์ Azure และฮาร์ดแวร์บางประเภท ช่วงหลังบริษัทเร่งพัฒนา AI ร่วมกับ OpenAI โดยนำ Copilot ฝังใน Microsoft 365, Windows, Bing และ Azure เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน เตรียมความพร้อมสู่ความเป็นอิสระด้าน AI ในอนาคต Microsoft และ Alphabet ต่างเป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกที่ลงทุนใน AI อย่างต่อเนื่อง โดยนำ AI ผสานเข้ากับบริการหลัก จุดต่างคือ Microsoft เน้น AI เพื่อเสริมซอฟต์แวร์และบริการคลาวด์ โดยร่วมมือกับ OpenAI พัฒนา Copilot สำหรับลูกค้าองค์กร ขณะที่ Alphabet พัฒนา AI เอง เช่น Gemini โดยใช้จุดแข็งจากข้อมูลมหาศาลผ่าน Google, YouTube และ Android ทำให้ Microsoft เด่นด้านซอฟต์แวร์องค์กร ส่วน Alphabet ครองตลาดโฆษณาและฐานผู้ใช้รายบุคคลทั่วโลก
เทียบกับ True Corporation PCL (TRUE): แม้ไทยจะยังไม่มีบริษัทที่เทียบเท่า Alphabet โดยตรงแต่ True Corporation คือผู้ให้บริการโทรคมนาคมและเทคโนโลยีรายใหญ่ของไทย มีฐานลูกค้ามือถือมากที่สุดในประเทศ ธุรกิจหลักคือ มือถือ บรอดแบนด์ ทีวีระบบสมาชิก (TrueVisions) และบริการดิจิทัลผ่าน True Digital Group ที่มุ่งพัฒนา AI, IoT, Cloud, Data Center ซึ่งมีความใกล้เคียงกับ Alphabet ตรงที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ลงทุนพัฒนา AI, Cloud, IoT และแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม โครงสร้างของ Alphabet เป็น Holding Company ระดับโลกที่บริหารธุรกิจหลากหลาย เช่น Google, YouTube, Waymo และ Verily ในขณะที่ True มุ่งเน้นบริการโทรคมนาคมและดิจิทัลในไทยและอาเซียนเป็นหลัก
Alphabet เผชิญกับความท้าทายด้านข้อกำหนดและการควบคุมจากภาครัฐในหลายประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายต่อต้านการผูกขาดและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายเหล่านี้อาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและโมเดลรายได้ นอกจากนี้การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาด AI จากคู่แข่งรายใหม่อาจกระทบต่อส่วนแบ่งตลาดและอัตรากำไร ความผันผวนของการลงทุนใน กลุ่มธุรกิจทดลองหรือนวัตกรรมใหม่ที่ยังไม่ทำกำไร แต่มีศักยภาพเติบโตในอนาคต (Other Bets) ที่ยังไม่สร้างกำไรก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนควรพิจารณา
อนาคตของ Alphabet มีแนวโน้มสดใสจากการเติบโตของตลาด AI และการเพิ่มขึ้นของการใช้งานดิจิทัลทั่วโลก การพัฒนา AI models ที่ก้าวหน้าและการนำไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ใช้ ธุรกิจ Google Cloud มีศักยภาพเติบโตสูงจากความต้องการใช้บริการ AI และคลาวด์ขององค์กรต่างๆ การพัฒนาเทคโนโลยีใน Other Bets อย่างรถยนต์ไร้คนขับและเทคโนโลยีสุขภาพอาจกลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่สำคัญในอนาคต การขยายตลาดสู่ประเทศกำลังพัฒนาที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นยังเป็นโอกาสทองสำหรับการเติบโตต่อเนื่อง
สนใจลงทุนในหุ้น Alphabet (ticker: GOOGL, GOOG หรือ DR: GOOG80,GOOGL01) Alphabet มีหุ้น 2 ประเภทคือ GOOGL (Class A) ที่มีสิทธิ์โหวต เหมาะกับผู้ต้องการมีส่วนร่วมในทิศทางบริษัท และ GOOG (Class C) ที่ไม่มีสิทธิ์โหวต เหมาะกับนักลงทุนที่เน้นผลตอบแทนจากราคาหุ้น และหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน