Keyword
Company History

BlackRock (BLK) : บริษัทบริหารเงินทุนยักษ์ใหญ่ที่ครองครึ่งโลกของการลงทุน

29 Jul 25 11:28 AM
Slide5

BlackRock Inc. (NYSE: BLK) บริษัทบริหารเงินทุนสัญชาติอเมริกัน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ไม่ได้เป็นเพียงผู้บริหารเงินทุนรายใหญ่ธรรมดา แต่เป็นผุ้นำการลงทุนที่ครองครึ่งโลกด้วยทรัพย์สินภายใต้การบริหารกว่า 12.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 
ความโดดเด่นของ BlackRock อยู่ที่การเป็นผู้บุกเบิกตลาด Exchange-Traded Funds (ETF) ที่เปลี่ยนโฉมหน้าการลงทุนโลก ผ่านแบรนด์ iShares ที่นักลงทุนไทยคุ้นเคยกันดี ที่ช่วยให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงตลาดหุ้นทั่วโลกได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญกว่านั้นคือเทคโนโลยี Aladdin ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริหารความเสี่ยงและการลงทุน Aladdin (Asset Liability Debt and Derivative Investment Network) ทำงานเสมือนสมองกลของระบบการเงินโลก โดยมีสามารถวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงของทรัพย์สิน ครอบคลุมธนาคารใหญ่อย่าง Deutsche Bank, Barclays, Wells Fargo รวมถึงธนาคารกลางหลายประเทศ ระบบนี้ใช้ปัญญาประดิษฐ์ ในการคำนวณความเสี่ยงแบบ real-time และให้คำแนะนำการลงทุนที่แม่นยำ ทำให้ BlackRock มิได้เป็นเพียงผู้บริหารเงินทุน แต่เป็นผู้กำหนดทิศทางและมาตรฐานของอุตสาหกรรมการลงทุนระดับโลก


จากจุดเริ่มต้นสู่ผู้นำการลงทุน
BlackRock เริ่มต้นเมื่อปี 1988 โดย Larry Fink และทีมงาน 8 คน ซึ่งเคยมีประสบการณ์จาก First Boston โดยเริ่มต้นบริษัทภายใต้ The Blackstone Group ด้วยทุนเริ่มต้นเพียง 5 ล้านดอลลาร์ ความเชี่ยวชาญหลักของ Fink อยู่ที่การบริหารความเสี่ยงจากตราสารหนี้ (Fixed Income) และการวิเคราะห์ mortgage-backed securities ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี Aladdin ในภายหลัง
ในช่วงทศวรรษ 1990 BlackRock เติบโตอย่างรวดเร็วผ่านการพัฒนานวัตกรรมด้านการบริหารความเสี่ยงและการวิเคราะห์ข้อมูล บริษัทเริ่มพัฒนาระบบ Aladdin ขึ้นมาเพื่อใช้ภายในองค์กร ก่อนค้นพบว่าเทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการขายให้กับสถาบันการเงินอื่น ๆ
จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อปี 2009 เมื่อ BlackRock เข้าซื้อกิจการ Barclays Global Investors ด้วยมูลค่า 13.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ iShares ETF ที่มีชื่อเสียงระดับโลก การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ทำให้ BlackRock กลายเป็นผู้นำตลาด ETF อย่างไม่มีใครเทียบได้ และเป็นการวางรากฐานสำคัญในการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น
หลังจากนั้น BlackRock ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องผ่านการเข้าซื้อกิจการหลายครั้ง รวมถึงการเข้าซื้อ HPS Investment Partners ในปี 2025 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในตลาด private credit และการพัฒนาเทคโนโลยี Aladdin ให้เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม รวมถึงการขยายไปยังตลาด private markets และ digital assets ทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำด้านการบริหารทรัพย์สินและเทคโนโลยีการลงทุนระดับโลกในปัจจุบัน


โครงสร้างรายได้และธุรกิจหลัก
BlackRock มีโครงสร้างรายได้ที่มั่นคงและหลากหลาย แบ่งออกเป็น 6 กลุ่มหลัก:
Investment Advisory และ Administration Fees - 79% ของรายได้รวม 
เป็นหัวใจหลักของธุรกิจที่ได้รับค่าธรรมเนียมจากการบริหารทรัพย์สินของลูกค้า โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร (AUM) ครอบคลุมการลงทุนในหุ้น (54% ของ AUM) ตราสารหนี้ (25% ของ AUM) ETF หลากหลายประเภท และ private markets ที่เติบโตแรง ค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันตามประเภทผลิตภัณฑ์ โดย active management จะมีอัตราสูงกว่า passive management และ private markets มีอัตราสูงสุด กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าตลาดทุนและการขยายตัวของ AUM 
Technology Services และ Subscription Revenue - 9% ของรายได้รวม 
รายได้จากแพลตฟอร์ม Aladdin และบริการเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ให้กับสถาบันการเงินทั่วโลก ค่าธรรมเนียมจะคิดตามจำนวนผู้ใช้งาน ขนาดของทรัพย์สินที่ใช้ในระบบ และโมดูลการใช้งาน เช่น การบริหารความเสี่ยง การซื้อขายหลักทรัพย์ การรายงาน และการวิเคราะห์ กลุ่มธุรกิจนี้มีการเติบโตแข็งแกร่งเฉลี่ยปีละ 15-20% จากความต้องการเทคโนโลยีในการบริหารความเสี่ยงและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังวิกฤตการเงิน 2008 ที่ทำให้สถาบันการเงินให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น
Distribution Fees - 6% ของรายได้รวม 
ค่าธรรมเนียมจากการกระจายผลิตภัณฑ์การลงทุนผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ และ financial advisor รวมถึงค่าธรรมเนียมจากการให้บริการลูกค้า (servicing fees) กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตจากการขยายตัวของตลาดผลิตภัณฑ์การลงทุนรายย่อยและการเข้าถึงตลาดเกิดใหม่
Securities Lending Revenue - 3% ของรายได้รวม 
รายได้จากการให้ยืมหลักทรัพย์ในพอร์ตโฟลิโอของกองทุนต่าง ๆ ให้กับนักลงทุนที่ต้องการทำ short selling หรือ arbitrage ค่าธรรมเนียมจะขึ้นอยู่กับประเภทหลักทรัพย์และความต้องการในตลาด กลุ่มธุรกิจนี้ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการทำ short selling และมีความผันผวนตามสภาวะตลาด
Investment Advisory Performance Fees - 2% ของรายได้รวม
ค่าธรรมเนียมที่ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุน โดยเฉพาะใน private markets hedge funds และ alternative investments ที่ BlackRock จะได้รับส่วนแบ่งจากผลตอบแทนที่เกินเป้าหมาย (carried interest) รายได้กลุ่มนี้มีความผันผวนสูงตามผลงานการลงทุน
Advisory และ Other Revenue - 1% ของรายได้รวม 
รายได้จากบริการที่ปรึกษาการลงทุน การวิเคราะห์ความเสี่ยง และธุรกิจอื่น ๆ เช่น การให้คำแนะนำด้านกลยุทธ์การลงทุนแก่รัฐบาลและสถาบันขนาดใหญ่
Screenshot-2025-07-29-113222.png
โครงสร้างรายได้ที่กระจายตัวนี้ช่วยให้ BlackRock มีความมั่นคงในการสร้างรายได้และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะรายได้จาก base fees ที่มีความมั่นคงและคาดการณ์ได้


กลยุทธ์การเติบโตและจุดแข็งของ BlackRock
BlackRock วางกลยุทธ์การเติบโตผ่าน "แพลตฟอร์มที่หลากหลาย" (Diversified Platform) ที่ผสานการลงทุนในตลาดสาธารณะ ETF private markets และ digital assets เข้าด้วยกัน การลงทุนในเทคโนโลยี Aladdin ทำให้บริษัทสามารถให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่การบริหารความเสี่ยงไปจนถึงการดำเนินการซื้อขาย
กลยุทธ์สำคัญอีกประการคือการขยายตัวไปยัง private markets ที่มีการเติบโตสูงและให้ผลตอบแทนดี รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ digital assets เช่น Bitcoin ETF ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก การเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในแต่ละสายธุรกิจ และการขยายตลาดไปยังประเทศเกิดใหม่ที่มีศักยภาพ
จุดแข็งที่โดดเด่นที่สุดคือ Scale Economies หรือประหยัดต่อขนาด ด้วยมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารที่ใหญ่มาก ทำให้ BlackRock สามารถกระจายต้นทุนคงที่และลดค่าใช้จ่ายต่อหน่วย ส่งผลให้สามารถเสนอค่าธรรมเนียมที่แข่งขันได้ในขณะที่ยังคงมีกำไรสูง


เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก
เทียบกับ The Charles Schwab Corporation (NYSE: SCHW) ในสหรัฐอเมริกา Charles Schwab เป็นบริษัทบริการทางการเงินที่ก่อตั้งโดย Charles R. Schwab เมื่อปี 1971 เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และการบริหารทรัพย์สิน มีทรัพย์สินลูกค้าภายใต้การดูแลกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ ดำเนินธุรกิจครอบคลุมการเป็นนายหน้าซื้อขาย การจัดการกองทุน การวางแผนทางการเงิน และบริการธนาคาร BlackRock และ Charles Schwab ต่างเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการเงินสหรัฐฯ แต่มีกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน BlackRock โดดเด่นด้านการบริหารสินทรัพย์ ETF และเทคโนโลยี Aladdin ขณะที่ Charles Schwab แข็งแกร่งในธุรกิจ brokerage และ wealth management services จุดต่างสำคัญคือ BlackRock สร้างรายได้หลักจาก management fees ส่วน Charles Schwab มีรายได้หลากหลายจากค่าคอมมิชชั่น การปล่อยกู้ และ net interest income การลงทุนของ BlackRock ในด้าน private markets และ digital assets ก้าวหน้ากว่า ขณะที่ Charles Schwab เน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายและบริการให้คำปรึกษาทางการเงิน
เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย


เทียบกับธนาคารกรุงเทพ (BBL) โดยเฉพาะในส่วนธุรกิจของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (BAM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคารบัวหลวง ดำเนินธุรกิจจัดการกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และบริการการลงทุน มีทรัพย์สินภายใต้การบริหารประมาณ 900,000 ล้านบาท และมีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตั้งแต่กองทุนตลาดเงิน กองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้นไทย กองทุนหุ้นต่างประเทศ ไปจนถึงกองทุน private equity และ alternative investments ที่เริ่มขยายตัวในตลาดไทย
ทั้ง BlackRock และ BAM ต่างเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนผ่านการจัดการกองทุนและการให้คำแนะนำการลงทุน โดยมีแหล่งรายได้หลักจากค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) และค่าธรรมเนียมผลงาน (performance fee) ทั้งสองบริษัทต่างมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาดและการบริหารความเสี่ยง


ความท้าทายและความเสี่ยง
BlackRock เผชิญความท้าทายเฉพาะจากสามประเด็นหลัก การถูกตรวจสอบเรื่องการผูกขาดจากหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ และยุโรป เนื่องจากมีส่วนแบ่งตลาด ETF ที่สูงมาก และมีอำนาจออกเสียงในบริษัทจดทะเบียนมากมาย ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ต่อระบบ Aladdin ซึ่งหากระบบล่มจะกระทบต่อตลาดการเงินโลก และการแข่งขันจาก fintech ที่เสนอ zero-fee investing ทำให้ค่าธรรมเนียม ETF ลดลงอย่างต่อเนื่อง กดดันรายได้หลักของบริษัท


อนาคตและโอกาสของ BlackRock
BlackRock มีโอกาสเติบโตจากสี่แนวทางชัดเจน ประการแรก การขยายธุรกิจ private markets ผ่านการเข้าซื้อ HPS Investment Partners มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ คาดว่าจะเพิ่มรายได้ 15-20% ภายในสามปี ถัดมา การเป็นผู้นำตลาด Bitcoin ETF ที่มี net inflows กว่า 15 พันล้านดอลลาร์ในปีแรก และกำลังพัฒนา Ethereum ETF ที่คาดว่าจะเปิดตัวนอกจากนี้การขยาย Aladdin ในตลาดเอเชีย โดยเฉพาะอินเดียและอินโดนีเซีย ที่มีธนาคารและ asset managers เริ่มใช้งาน และการพัฒนา AI-powered investment tools ที่จะเปิดตัวภายในสองปี เพื่อแข่งขันกับ robo-advisors 
จากทั้งหมดนี้ BlackRock จึงไม่ได้เป็นเพียงบริษัทบริหารเงินทุนธรรมดา แต่เป็นองค์กรที่กำลังกำหนดอนาคตของระบบการเงินโลก ด้วยการผสมผสานระหว่างความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และวิสัยทัศน์ที่มองไปข้างหน้า ทำให้ BlackRock มีตำแหน่งที่แข็งแกร่งในการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต


สนใจลงทุนในหุ้น Blackrock (BLK) และหุ้นอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5