Keyword
Company History

Inditex (ITX.MC) เจ้าของแบรนด์ Zara อีกหนึ่งผู้เล่นปั้นจักรวรรดิแฟชั่น

16 Jun 25 3:36 PM
Inditex (ITX.MC) เจ้าของแบรนด์ Zara อีกหนึ่งผู้เล่นปั้นจักรวรรดิแฟชั่น
สรุปสาระสำคัญ

Inditex (Ticker: ITX.MC) คือบริษัทแฟชั่นยักษ์ใหญ่จากสเปน เจ้าของแบรนด์ Zara ที่ครองใจคนทั่วโลก ด้วยโมเดลธุรกิจ Fast Fashion ที่เปลี่ยนเทรนด์จากรันเวย์ให้ไปถึงหน้าร้านได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ เป็นบริษัทที่สามารถ “ออกแบบเทรนด์” เอง ผลิตเอง ขายเอง ควบคุมทั้ง supply chain ด้วยความเร็วเหนือคู่แข่ง และยังใช้ AI ควบคู่กับ Omnichannel เชื่อมโยงโลกออนไลน์กับหน้าร้านให้ไร้รอยต่อ แบรนด์ที่ครอบคลุมทุกสไตล์ ตั้งแต่ Zara, Bershka, Pull&Bear ไปจนถึง Massimo Dutti ไม่เพียงแต่ขายเสื้อผ้า แต่ยังเป็นผู้กำหนดทิศทางของวงการแฟชั่นโลก

 

ด้วยกลยุทธ์ที่เน้น “ความเร็ว, เทคโนโลยี, ความยั่งยืน” Inditex กลายเป็นมากกว่าบริษัทแฟชั่น แต่คือ จักรวรรดิค้าปลีกระดับโลก ที่ไม่มีใครเหมือน และยากจะมีใครเทียบทัน

Inditex เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นระดับโลก!

 

Inditex (ITX.MC) หรือที่หลายคนรู้จักกันในฐานะ “ZARA” คือบริษัทค้าปลีกแฟชั่นสัญชาติสเปนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาดริด (Bolsa de Madrid: BME)เริ่มต้นจากโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าขนาดเล็กในแคว้นกาลิเซีย ก่อตั้งโดย อามันซิโอ ออร์เตกา (Amancio Ortega) ในปี 1975 ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับโลกในอุตสาหกรรมแฟชั่น ด้วยโมเดลธุรกิจ Fast Fashion ที่เปลี่ยนเทรนด์จากรันเวย์ให้ถึงมือผู้บริโภคได้ภายในไม่กี่สัปดาห์

 

จากการเปิดร้าน Zara แห่งแรกในปี 1975 Inditex ขยายอาณาจักรอย่างรวดเร็วครอบคลุมแบรนด์แฟชั่นยอดนิยมถึง 8 แบรนด์ เช่น Bershka, Pull&Bear, Stradivarius และ Massimo Dutti โดยมีการดำเนินธุรกิจใน 214 ตลาด และให้บริการลูกค้ากว่า 100 ล้านคนต่อปี สร้างรายได้รวมกว่า 38 พันล้านยูโร

 

ด้วย supply chain ที่รวดเร็วเป็นพิเศษ การลงทุนใน omnichannel และการปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา Inditex ไม่เพียงแต่กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแฟชั่น แต่ยังเป็นผู้กำหนดเทรนด์และทิศทางของธุรกิจค้าปลีกระดับโลกในยุคใหม่

 

 

จากความฝันของนักธุรกิจหนุ่มสู่จักรวรรดิแฟชั่นโลก

 

Inditex มีจุดเริ่มต้นจากความฝันของ Amancio Ortega ผู้ก่อตั้งที่เริ่มต้นด้วยการเปิดโรงงาน Confecciones GOA เมื่อปี 1963 ในเมือง A Coruña ประเทศสเปน ด้วยการผลิตชุดนอนสำหรับผู้หญิง

 

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 1975 เมื่อ Ortega เปิดร้าน Zara แห่งแรก ด้วยแนวคิดที่ปฏิวัติแวดวงแฟชั่น คือการนำเทรนด์แฟชั่นจากรันเวย์มาสู่ผู้บริโภคทั่วไปในราคาที่เข้าถึงได้ และด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

ปี 1985 บริษัทได้จดทะเบียนอย่างเป็นทางการภายใต้ชื่อ Inditex เพื่อรวมบริษัทต่างๆ ภายในกลุ่มเข้าด้วยกัน ช่วงปี 1988-1990 เป็นจุดเริ่มต้นของการขยายตัวสู่ตลาดระหว่างประเทศ โดยเปิดร้าน Zara ในปอร์โต นิวยอร์ก และปารีส

 

ตลอดทศวรรษ 1990 บริษัทได้ขยาย Portfolio of brands (พอร์ตแบรนด์) ด้วยการเข้าซื้อและพัฒนาแบรนด์ใหม่ๆ อย่าง Pull&Bear, Massimo Dutti, Bershka และ Stradivarius ทำให้ Inditex กลายเป็นกลุ่มธุรกิจแฟชั่นที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายและทุกระดับราคา

 

 

โครงสร้างรายได้ของ Inditex

 

สะท้อนให้เห็นถึงการครองตลาดแฟชั่นผ่านแบรนด์ Zara และการกระจายตัวในกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย โดยแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่

 

  1. Zara (รวม Zara Home) – 72%

แบรนด์หลักของ Inditex ที่เน้น fast fashion พร้อมดีไซน์ทันสมัยและระบบ supply chain ที่รวดเร็ว โดยมี Zara Home เสริมความแข็งแกร่งในตลาดสินค้าตกแต่งบ้าน กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากตลาด fast fashion ทั่วโลก และการลงทุนใน omnichannel, resale platform และ AI-powered retail experience

 

  1. Bershka – 8%

แบรนด์แฟชั่นสดใสที่เน้นเจาะกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ ด้วยสไตล์สนุก สดใหม่ และเข้ากับเทรนด์ กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากกระแส youth-driven trends และ social commerce ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Instagram

 

  1. Stradivarius – 7%

แบรนด์ที่เน้นความ feminine และโรแมนติก เจาะกลุ่มผู้หญิงรุ่นใหม่ที่มองหาเอกลักษณ์เฉพาะตัว กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากความต้องการในสไตล์ quiet luxury และการเจาะตลาดกลุ่ม niche-specific segments

 

  1. Pull & Bear – 6%

แบรนด์ที่ผสมผสานแฟชั่น casual กับกลิ่นอายของ streetwear และ athleisure เจาะกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากกระแส streetwear ทั่วโลก และการเติบโตในกลุ่มผู้บริโภค Gen Z และ Gen Alpha

 

  1. Massimo Dutti – 5%

แบรนด์พรีเมียมของ Inditex ที่เน้นสไตล์เรียบหรู สง่างาม และเนื้อผ้าคุณภาพ กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากกำลังซื้อของชนชั้นกลาง-บน และเทรนด์ sustainable & minimalist fashion ที่เติบโตในตลาดโลก

 

  1. Oysho – 2%

แบรนด์ที่เน้นเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิง เช่น ชุดชั้นใน สปอร์ตแวร์ และชุดว่ายน้ำ ด้วยดีไซน์เน้นฟังก์ชันและความสบาย กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากตลาด lingerie & activewear ที่ขับเคลื่อนโดยเทรนด์ body positivity, comfort-first และ functional fashion

 

 

inditex.png

 

กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและจุดแข็งที่โดดเด่น

 

Inditex มีจุดแข็งหลักจากโมเดล "Fast Fashion" ที่สามารถนำเทรนด์แฟชั่นจากการออกแบบสู่ผู้บริโภคได้ภายในเวลา 2-3 สัปดาห์ ซึ่งเร็วกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมอย่างมาก การมีระบบห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจรที่ควบคุมทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การกระจายสินค้า ไปจนถึงการขายปลีก

 

การลงทุนด้านเทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งสำคัญ บริษัทใช้ระบบ AI และ Big Data ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค การคาดการณ์เทรนด์ และการบริหารสต็อกสินค้า ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ

 

กลยุทธ์ Omnichannel เป็นอีกหนึ่งความได้เปรียบ ที่ผสานประสบการณ์การช็อปปิ้งระหว่างหน้าร้านและออนไลน์ให้เป็นหนึ่งเดียว ลูกค้าสามารถสั่งซื้อออนไลน์และรับสินค้าที่ร้าน หรือส่งคืนสินค้าได้ที่ร้านโดยไม่มีข้อจำกัด

 

นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นความยั่งยืนด้วยการตั้งเป้าหมายใช้เส้นใยที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย 100% ภายในปี 2030 และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย Science Based Targets initiative

 

 

เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลกและในประเทศไทย

 

เทียบกับ H&M (HM-B.ST) ในตลาดสวีเดน H&M และ Inditex ต่างเป็นผู้นำในตลาด Fast Fashion แต่มีแนวทางที่แตกต่างกัน H&M เน้นการทำงานร่วมกับนักออกแบบชื่อดังและการผลิตสินค้าในปริมาณมาก ขณะที่ Inditex เน้นความเร็วในการตอบสนองเทรนด์และการมีระบบผลิตที่ยืดหยุ่น H&M พึ่งพาการผลิตจากเอเชียเป็นหลัก ส่งผลให้ใช้เวลานานกว่าในการนำสินค้าออกสู่ตลาด ขณะที่ Inditex มีโรงงานผลิตส่วนใหญ่อยู่ใกล้กับสำนักงานใหญ่ในสเปนและยุโรป ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพและตอบสนองตลาดได้รวดเร็วกว่า

 

เมื่อเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย

 

เทียบกับ ICC International (ICC.BK) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทค้าปลีกแฟชั่นรายใหญ่ในเครือสหพัฒน์ แม้ ICC จะมีจุดแข็งในการบริหารแบรนด์ของตัวเอง เช่น Arrow, Lacoste, BSC และ ELLE และมีการควบคุมกระบวนการผลิตจนถึงการจัดจำหน่ายเองภายในประเทศ แต่โมเดลธุรกิจยังเน้นตลาดในประเทศเป็นหลัก และมีการพึ่งพาการร่วมทุนกับแบรนด์ต่างประเทศ ขณะที่ Inditex พัฒนาแบรนด์ทั้งหมดภายใต้กลุ่มของตนเอง และมีเครือข่ายการดำเนินธุรกิจทั่วโลกมากกว่า 200 ตลาด ICC ใช้ช่องทางจำหน่ายหลักผ่านห้างสรรพสินค้าและร้านค้าเฉพาะทางในไทย ส่วน Inditex มีระบบ Omnichannel ครบวงจรที่เชื่อมโยงหน้าร้านกับออนไลน์ได้ทั่วโลก ทำให้ Inditex มีความได้เปรียบด้านการขยายตลาด ความเร็วในการตอบสนองต่อเทรนด์ และการควบคุมคุณภาพในระดับโลก

 

 

ความท้าทายในยุคดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค

 

Inditex ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปสนใจความยั่งยืนมากขึ้น ทำให้ธุรกิจ Fast Fashion ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การแข่งขันจากแบรนด์ E-commerce อย่าง Shein และ Temu ที่เสนอราคาถูกกว่าและสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องระวัง

 

ความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดยุโรปเป็นหลักและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกก็ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ ต้นทุนวัตถุดิบและแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงค่าขนส่งและพลังงานที่ผันผวน ล้วนเป็นปัจจัยที่กดดันอัตรากำไรของบริษัท

 

 

อนาคตและโอกาสการเติบโต

 

Inditex มีแผนการขยายตัวในตลาดเอเชียและอเมริกา โดยเฉพาะในประเทศที่มีชนชั้นกลางเติบโตขึ้น เช่น อินเดีย เวียดนาม และประเทศในแอฟริกา การลงทุนด้านเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติในโรงงานและคลังสินค้าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงาน

 

การพัฒนาธุรกิจ E-commerce และการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า เช่น Virtual Try-On และ Personalized Recommendation จะเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันในยุคดิจิทัล การเน้นความยั่งยืนและการใช้วัสดุรีไซเคิลก็จะช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

 

การขยายหมวดสินค้าใหม่ๆ อย่างเครื่องสำอาง น้ำหอม และสินค้าไลฟ์สไตล์ จะช่วยเพิ่มรายได้ต่อลูกค้าและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ในขณะที่การพัฒนาแบรนด์ในกลุ่มระดับพรีเมียมจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรและสร้างความมั่นคงในระยะยาว

 

สนใจลงทุนในหุ้น Inditex (ITX.MC) และหุ้นเติบโตอื่น ๆ จากทั่วโลกได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX ที่ให้คุณเข้าถึงการลงทุนระดับโลกได้แบบไร้ขีดจำกัด สนใจเปิดบัญชีลงทุน คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

Stocks Mentioned
ITXe.CHI
Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5