Keyword
Company History

L'Oréal (OR) แบรนด์สกินแคร์และเครื่องสำอางระดับโลก ที่ครองใจสาวๆ ทุกระดับ

26 Jun 25 4:38 PM
L'Oréal (OR) แบรนด์สกินแคร์และเครื่องสำอางระดับโลก ที่ครองใจสาวๆ ทุกระดับ
สรุปสาระสำคัญ

L'Oréal (OR) บริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่จากประเทศฝรั่งเศสที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Euronext Paris กลายเป็นจุดสนใจของนักลงทุนทั่วโลก เมื่อสามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดความงามโลกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการถือครองพอร์ตแบรนด์ระดับโลกกว่า 37 แบรนด์ครอบคลุมทุกกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปจนถึงกลุ่มพรีเมียม ที่สำคัญคือสามารถสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคงแม้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลก จากจำนวนพนักงานกว่า 90,000 คนทั่วโลกที่ทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านความงามของผู้คนในทุกมุมโลก ทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดระดับโลกถึง 14% และมีการขายสินค้าไปยังกว่า 150 ประเทศทั่วโลก

จากห้องปฏิบัติการเล็กๆ สู่ผู้นำตลาดความงามโลก

 

เรื่องราวของ L'Oréal เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Eugène Schueller เคมีหนุ่มผู้มีวิสัยทัศน์ก่อตั้งบริษัท L'Oréal ในเมือง Clichy ประเทศฝรั่งเศส ด้วยการคิดค้น น้ำยาย้อมผมสูตรถนอมเส้นผมขึ้นภายใต้ชื่อ "Oréale" ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมความงาม ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในช่วงแรกนำไปสู่การขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลากหลายประเภท

 

ความก้าวกระโดดครั้งใหญ่เกิดขึ้นในช่วงปี 1984-1987 ภายใต้การนำของ Charles Zviak ที่มุ่งเน้นการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจัง ตามด้วยยุคของ Lindsey Owen-Jones ที่ทำให้ L'Oréal กลายเป็นผู้นำตลาดความงามโลกผ่านการขยายตัวระหว่างประเทศและการเข้าซื้อกิจการ ปัจจุบันภายใต้การนำของ Jean-Paul Agon บริษัทมุ่งสู่เป้าหมาย "Beauty for All" โดยเน้นความหลากหลายและการให้ความสำคัญกับทุกกลุ่มผู้บริโภค พร้อมกับการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลและความรับผิดชอบต่อสังคมเข้าไปในทุกกิจกรรมทางธุรกิจ

 

 

โครงสร้างรายได้ที่หลากหลายและแข็งแกร่ง

 

L'Oréal มีโครงสร้างรายได้ที่กระจายความเสี่ยงได้ดี โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่

 

  1. L’Oréal Luxe – 35% ของรายได้รวม
    กลุ่มผลิตภัณฑ์ลักซูรีภายใต้แบรนด์ระดับโลก เช่น Lancôme, Yves Saint Laurent, Helena Rubinstein, Aesop และ Valentino Beauty โดดเด่นจากดีไซน์ กลิ่นหอม และสกินแคร์ระดับพรีเมียม
    กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจาก เทรนด์ที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มเลือกซื้อสินค้าหรือบริการระดับพรีเมียมมากขึ้นโดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและตะวันออกกลางที่ผู้บริโภคมองหาสินค้าคุณภาพสูงเพื่อแสดงสถานะและเสริมบุคลิก
  2. Consumer Products – 36% ของรายได้รวม
    กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น L'Oréal Paris, Garnier, Maybelline New York, NYX Professional Makeup ซึ่งมีการกระจายตัวสูงสุดในช่องทางค้าปลีกและดิจิทัล กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตจาก กำลังซื้อของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นในตลาดเกิดใหม่ และความต้องการสินค้า “คุณภาพในราคาจับต้องได้” นอกจากนี้ยังได้รับแรงหนุนจากเทรนด์ affordable self-care, clean beauty, และ การแต่งหน้าที่สะท้อนตัวตน ผ่านช่องทาง TikTok, IG, และ Creator Economy

  3. Dermatological Beauty – 18% ของรายได้รวม
    กลุ่มผลิตภัณฑ์เวชสำอาง เช่น La Roche-Posay, CeraVe, Vichy ซึ่งเน้นความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์และผลลัพธ์ทางคลินิก กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตจากเทรนด์ skinification (ผิวดีสำคัญกว่าเมคอัพ) และ health & wellness convergence ที่ผู้บริโภคเริ่มมองว่าสุขภาพผิวคือสุขภาพกายชนิดหนึ่ง อีกทั้งยังได้รับแรงสนับสนุนจากแพทย์ เภสัชกร และช่องทางร้านขายยาในหลายประเทศ

  4. Professional Products – 11% ของรายได้รวม
    กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเส้น เช่น Kérastase, L'Oréal Professionnel, Matrix, Redken กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตจาก เทรนด์การกลับมาใช้บริการซาลอนหลังยุคโควิด, self-investment & pampering, และ premium haircare โดยเฉพาะในตลาดที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพเส้นผมมากขึ้น นอกจากนี้แบรนด์ยังลงทุนในแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์สำหรับช่างทำผมมืออาชีพ พร้อมกับผลักดันกลยุทธ์ Omnichannel เพื่อเชื่อมต่อระหว่างซาลอนและผู้บริโภค เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการและผลิตภัณฑ์ได้ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์

loreal.png

 

โครงสร้างรายได้ที่กระจายตัวนี้ช่วยให้ L'Oréalมีความยืดหยุ่นสูงในการรับมือกับความผันผวนของตลาดแต่ละกลุ่ม และสามารถใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อระหว่างธุรกิจต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

กลยุทธ์การเติบโตและจุดแข็งของ L'Oréal

 

L'Oréal วางกลยุทธ์การเติบโตผ่านการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีศูนย์วิจัยกว่า 21 แห่งทั่วโลก และทีมงานนักวิทยาศาสตร์กว่า 4,000 คน ที่ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอีก 8,000 คน เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

 

จุดแข็งหลักของ L'Oréal คือความสามารถในการสร้างและบริหารพอร์ตแบรนด์ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มผู้บริโภค ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคทั่วไปจนถึงกลุ่มพรีเมียม การลงทุนด้านเทคโนโลยี Beauty Tech อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการใช้ AI และ Augmented Reality (AR) เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบใหม่ นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์ Omnichannel ที่แข็งแกร่ง โดยสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางที่หลากหลาย ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งปัจจุบันการขายออนไลน์คิดเป็น 27% ของยอดขายทั่วโลก

 

 

เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก

 

เทียบกับ Estée Lauder Companies (EL) ในสหรัฐอเมริกา: Estée Lauder ก่อตั้งในนิวยอร์กปี 1946 เริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวในสายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ก่อนขยายสู่แบรนด์ความงามระดับโลก เช่น MAC, La Mer และ Jo Malone ครอบคลุมทั้งสกินแคร์ เมกอัพ และน้ำหอม ขณะที่ L’Oréal Group ก่อตั้งในฝรั่งเศสปี 1909 มีแบรนด์ในเครือมากกว่า 35 แบรนด์ ครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มมวลชน (L’Oréal Paris) จนถึงลักชัวรี (Lancôme, YSL Beauty) ทั้งสองบริษัทแข่งขันในตลาดความงามโลก โดยเน้นกลุ่มลูกค้าหญิงทั่วโลกและสร้างแบรนด์ผ่านภาพลักษณ์ ความหรูหรา และนวัตกรรม

 

ทั้งคู่มีความหลากหลายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ L’Oréal มีความครอบคลุมครบมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคทั่วไปในราคาจับต้องได้ ไปจนถึงกลุ่มพรีเมียมและลักซูรี ในขณะที่ Estée Lauder มุ่งเน้นหลักไปที่ผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมเท่านั้น L’Oréal ยังมีการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตสูง ขณะที่ Estée Lauder ยังคงพึ่งพาตลาดหลักอย่างอเมริกาเหนือและยุโรปเป็นหลัก นอกจากนี้ L’Oréal ลงทุนหนักในด้าน Beauty Tech และความยั่งยืน (Sustainability) ในขณะที่ Estée Lauder โฟกัสไปที่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สกินแคร์ระดับบน

 

 

เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย 

 

เทียบกับ Karmart (KAMART): Karmart ก่อตั้งในประเทศไทยปี 2009 จากธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำอางในรูปแบบ Beauty Store ก่อนปรับตัวสู่การเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามภายใต้แบรนด์ของตนเอง เช่น Cathy Doll และ Skynlab โดยมุ่งเน้นตลาดผู้บริโภคในกลุ่มมวลชนที่ต้องการสินค้าคุณภาพดีในราคาจับต้องได้ ขณะที่ L’Oréal Group ก่อตั้งในฝรั่งเศสปี 1909 เป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมความงาม มีแบรนด์ในเครือกว่า 35 แบรนด์ ครอบคลุมทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เมกอัพ น้ำหอม และดูแลเส้นผม ตั้งแต่ระดับแมสไปจนถึงลักซูรี

 

ทั้ง Karmart และ L’Oréal ต่างแข่งขันในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยมีจุดร่วมในการมุ่งพัฒนาแบรนด์ความงามที่เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างผ่านช่องทางออนไลน์และค้าปลีกสมัยใหม่ รายได้หลักของ Karmart มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เมกอัพและสกินแคร์ในประเทศและอาเซียน ส่วน L’Oréal มีรายได้กระจายทั่วโลก โดยใช้กลยุทธ์การเข้าซื้อแบรนด์ เสริมพอร์ตโฟลิโอ และการลงทุนใน Beauty Tech เพื่อรักษาความเป็นผู้นำ

 

 

ความท้าทายและการแข่งขันในตลาด

 

แม้ว่า L'Oréal จะมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและเป็นผู้นำตลาด แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ การแข่งขันสูงจากแบรนด์เครื่องสำอางท้องถิ่นและแบรนด์ใหม่ที่เน้นความยั่งยืนและธรรมชาติ โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ที่มีความละเอียดอ่อนต่อประเด็นสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้ต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาดและการจัดจำหน่าย รวมถึงผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในบางภูมิภาคลดลง โดยเฉพาะตลาดจีนที่มีการชะลอตัว

 

 

อนาคตและโอกาสของ L'Oréal

 

ในอนาคต L'Oréal มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องจากหลายปัจจัย การขยายตัวในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และแอฟริกา ที่มีประชากรกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้นและมีกำลังซื้อที่มากขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยี Beauty Tech และ Personalization ช่วยสร้างประสบการณ์ที่เหมาะสมกับผู้บริโภคในแต่ละคน การเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทางการแพทย์ที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของความรู้เรื่องสุขภาพผิว และการลงทุนด้านความยั่งยืนที่จะช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ L'Oréal ยังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมาย "Beauty for Each" ที่จะสร้างประสบการณ์ความงามที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

 

สนใจลงทุนในหุ้น L'Oréal (Ticker: OR, ORp หรือ DR: LOREAL80) และหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ จากทั่วโลกได้ง่ายๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

Stocks Mentioned
ORp.CHI
Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5