Keyword
Company History

LVMH Moët Hennessy - Louis Vuitton (MCp.CHI) แบรนด์หรูยักษ์ใหญ่จากดินแดนฝรั่งเศส

27 Jun 25 11:06 AM
LVMH Moët Hennessy - Louis Vuitton (MCp.CHI) แบรนด์หรูยักษ์ใหญ่จากดินแดนฝรั่งเศส
สรุปสาระสำคัญ

LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton (MCp.CHI) บริษัทสินค้าแบรนด์หรูยักษ์ใหญ่จากฝรั่งเศสที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปารีส ไม่ใช่แค่เจ้าของแบรนด์หรูหราที่คุณรู้จัก แต่เป็นผู้ปกครองอาณาจักรแห่งความฝันที่ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิตแบบหรูหรา จากกระเป๋า Louis Vuitton ที่ทุกคนปรารถนา ไปจนถึงแชมเปญระดับพรีเมียมอย่าง Dom Pérignon ที่ใช้เฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษ หรือนาฬิกา TAG Heuer ที่ประดับข้อมือผู้บริหารระดับโลก ด้วยการครอบครอง 75 แบรนด์ ใน 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ทำให้ LVMH กลายเป็นจักรวาลแห่งความหรูหราที่ไม่มีใครเทียบได้ พร้อมกับการดำเนินธุรกิจครอบคลุม 80 ประเทศทั่วโลก สร้างประสบการณ์ความฝันให้กับผู้บริโภคระดับไฮเอนด์ทุกภูมิภาค

ต้นกำเนิดและวิวัฒนาการธุรกิจ

 

ย้อนกลับไปในปี 1987 LVMH ถือกำเนิดขึ้นจากการรวมตัวกิจการครั้งสำคัญระหว่าง Moët Hennessy และ Louis Vuitton ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอุตสาหกรรมสินค้าหรูหรา การรวมกิจการครั้งนี้ไม่ได้เพียงแค่สร้างบริษัทใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นการปฏิวัติแนวคิดการดำเนินธุรกิจหรูหราแบบครบวงจร

 

ในปี 1989 Bernard Arnault ได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้นำของบริษัท พร้อมกับวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน นั่นคือการผลักดันให้ LVMH ก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกในตลาดสินค้าแบรนด์หรู จากจุดเริ่มต้นที่มีเพียง 10 แบรนด์และพนักงาน 12,000 คน บริษัทได้เติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการเข้าซื้อกิจการแบรนด์หรูชั้นนำทั่วโลก

 

ในช่วงทศวรรษแรก LVMH ได้ขยายพอร์ตโฟลิโอด้วยการเข้าซื้อ Givenchy, Kenzo, Berluti, Guerlain, Loewe และ Celine. ต่อมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 บริษัทได้เสริมความแข็งแกร่งด้วยการเข้าซื้อ Fendi ในปี 2001 และ Bulgari ในช่วงปี 2011 และในช่วงล่าสุด LVMH ได้เพิ่มความหลากหลายให้กับกลุ่มบริษัทด้วยการเข้าซื้อ Rimowa ในปี 2016, Belmond ในปี 2018 และ Tiffany & Co. ในปี 2021

 

การเติบโตของ LVMH ไม่ได้มาจากเพียงแค่การขยายแบรนด์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนานวัตกรรมผ่านศูนย์วิจัย Hélios และการลงทุนในศิลปะและวัฒนธรรมผ่าน Fondation Louis Vuitton ซึ่งออกแบบโดย Frank Gehry และเปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้ ทำให้ LVMH ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำทางธุรกิจ แต่ยังเป็นผู้สนับสนุนศิลปะและวัฒนธรรมระดับโลกอีกด้วย

 

 

โครงสร้างรายได้ที่หลากหลาย

 

LVMH มีโครงสร้างรายได้ที่กระจายความเสี่ยงได้ดีผ่าน 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่:

 

  1. Fashion & Leather Goods - 48% ของรายได้รวม

กลุ่มธุรกิจนี้เป็นกลุ่มธุรกิจหลักที่รวมแบรนด์หรูชั้นนำระดับโลก เช่น Louis Vuitton, Dior, Celine, Loewe, Fendi และ Givenchy ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการเติบโตของกลุ่มธุรกิจนี้ ได้แก่ การขยายตัวของชนชั้นกลางระดับบนในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศจีนและตลาดเกิดใหม่ รวมถึงความนิยมในสินค้าหรูที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน และการออกแบบที่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคGen Z

 

  1. Selective Retailing - 30% ของรายได้รวม

ครอบคลุมธุรกิจการค้าปลีกผ่าน Sephora และ DFS Galleria กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตจาก การเติบโตของตลาดเครื่องสำอาง และความนิยม Omnichannel retailing ที่ผสมผสานออนไลน์กับออฟไลน์และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ส่งเสริมยอดขายในร้านค้าปลีกสนามบิน (DFS)

 

  1. Wines & Spirits - 13% ของรายได้รวม

รวมแบรนด์ระดับโลกอย่าง Moët & Chandon, Dom Pérignon, Hennessy และ Krug มีแนวโน้มเติบโตจากเทรนด์ใหญ่ หลายประการ โดยเฉพาะความต้องการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พรีเมียม ที่เพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงการฟื้นตัวของตลาดคอนญัค (Cognac) ในจีนหลังผ่อนคลายมาตรการโควิด อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจนี้ยังคงเผชิญความท้าทายจากความต้องการที่ลดลงในจีนในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งส่งผลต่อยอดขายโดยรวมในภูมิภาคนี้

 

  1. Perfumes & Cosmetics - 7% ของรายได้รวม

ประกอบด้วยแบรนด์อย่าง Dior, Guerlain และ Fresh มีแนวโน้มเติบโตโดยเฉพาะกระแสความนิยมด้านสุขภาพผิว และเครื่องสำอางคลีนบิวตี้ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขยายตัวของตลาด e-commerce และเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย ที่เปิดโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ นอกจากนี้ ความสำเร็จของ Fenty Beauty ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกลยุทธ์ Inclusive Beauty (ความงามที่ไม่จำกัดกรอบ) ที่ตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม

 

  1. Watches & Jewelry - 1% ของรายได้รวม

รวม TAG Heuer, Hublot, Bulgari และ Tiffany & Co. มีแนวโน้มเติบโตจากตลาดนาฬิกาหรู และเครื่องประดับ โดยเฉพาะในตลาดเอเชียและตะวันออกกลาง ขณะเดียวกัน ทางบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการขยายคอลเลกชันเครื่องประดับราคาเข้าถึงได้ของ Tiffany & Co. เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า Gen Z ที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นกำลังซื้อสำคัญในตลาดเครื่องประดับระดับพรีเมียม ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดผู้บริโภครุ่นใหม่

 

  1. Other Activities - 1% ของรายได้รวม

ครอบคลุมธุรกิจโรงแรมผ่าน Belmond และสื่อต่างๆ มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นจากเทรนด์การเติบโตของตลาดการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟมากกว่าสินค้า โดยเฉพาะในส่วนของรถไฟหรูและโรงแรมบูติก ซึ่ง LVMH ได้ตอบสนองเทรนด์นี้ผ่านการขยายเครือ Belmond ในตลาดเอเชียอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเปิดให้บริการเส้นทาง Eastern & Oriental Express (ไทย-สิงคโปร์) ที่ผสมผสานระหว่างความหรูหราระดับโลกกับเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ในภูมิภาคที่กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

 

qaz.png

 

กลยุทธ์การเติบโตและจุดแข็งเหนือคู่แข่ง

 

LVMH วางกลยุทธ์การเติบโตแบบบูรณาการครบวงจร (Integrated and End-to-End) ผ่านการควบคุมทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การจัดจำหน่าย ไปจนถึงประสบการณ์ลูกค้า จุดแข็งที่สำคัญคือการรักษาเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ ให้คงความโดดเด่นในขณะที่ได้รับประโยชน์จากการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งทรัพยากร เทคโนโลยี หรือช่องทางการจัดจำหน่าย อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่โดดเด่นคือการลงทุนในศิลปิน ช่างฝีมือ และนวัตกรรม ผ่าน Institut des Métiers d'Excellence และศูนย์วิจัย Hélios ที่เป็นแหล่งพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลกสำหรับเครื่องสำอางและน้ำหอม นอกจากนี้ LVMH ยังเน้นการสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายผ่านร้านค้าระดับพรีเมียม งานแสดงแฟชั่น และกิจกรรมพิเศษต่างๆ ที่สร้างความผูกพันทางอารมณ์กับลูกค้า

 

 

เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก  

 

เทียบกับ Kering (KER.PA) ในฝรั่งเศส: Kering เริ่มต้นจากกลุ่มธุรกิจไม้แปรรูปในฝรั่งเศส และปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจแฟชั่นและเครื่องหนังในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นเจ้าของแบรนด์ชั้นนำอย่าง Gucci, Saint Laurent และ Bottega Veneta โดยโครงสร้างรายได้หลักมาจากสินค้าแฟชั่นระดับไฮเอนด์ที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนทั่วโลกผ่านช่องทางการขายแบบตรงถึงผู้บริโภคและการควบคุมคุณภาพแบรนด์อย่างเข้มงวด ทั้ง Kering และ LVMH ต่างเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแฟชั่นหรู โดยแข่งขันในตลาดโลกและมุ่งตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการสินค้าพรีเมียมระดับสูง ความเหมือนกันของทั้งสองคือการลงทุนในดีไซน์อัตลักษณ์ สร้างประสบการณ์แบรนด์ และขยายตลาดผ่านเอเชีย โดยเฉพาะจีนและเกาหลีใต้ ความแตกต่างที่สำคัญ คือ Kering มุ่งเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์แฟชั่นหรูเป็นหลัก โดยเฉพาะเสื้อผ้า เครื่องหนัง และรองเท้า ผ่านแบรนด์เรือธงอย่าง Gucci, Saint Laurent และ Bottega Veneta ในขณะที่ LVMH มีพอร์ตสินค้าที่หลากหลายครอบคลุมตั้งแต่แฟชั่นและเครื่องประดับไปจนถึงน้ำหอม นาฬิกา ไวน์ และสุรา โดยมีแบรนด์เด่นอย่าง Louis Vuitton, Dior และ Hennessy

 

 

เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย

 

เมื่อเปรียบเทียบกับ Jubilee Enterprise (JUBILE.BK): Jubilee Enterprise ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยปี 1973 เริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวด้านเครื่องประดับเพชร ก่อนเติบโตเป็นแบรนด์เครื่องประดับชั้นนำของไทยที่เน้นตลาดระดับกลางถึงบน ปัจจุบันมีสาขากว่า 140 แห่งทั่วประเทศ ดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์การออกแบบที่ทันสมัยและขยายตลาดผ่านช่องทางค้าปลีกและออนไลน์

ทั้ง Jubilee และ LVMH แข่งขันในอุตสาหกรรมสินค้าหรู มีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และคุณภาพสินค้า Jubilee เน้นรายได้จากตลาดในประเทศเป็นหลัก ผ่านผลิตภัณฑ์เครื่องประดับเพชรเป็นหลัก โดยมีกลยุทธ์การขยายตลาดด้วยพรีเซนเตอร์ชื่อดังและการพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ขณะที่ LVMH มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สูงกว่าและกระจายรายได้ทั่วโลก ผ่านการเติบโตด้วยการเข้าซื้อแบรนด์หรูที่มีชื่อเสียงและการลงทุนด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน

 

 

ความท้าทายในยุคดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลง

 

แม้ว่า LVMH จะมีฐานะมั่นคงในตลาดสินค้าแบรนด์หรู แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มGen Z ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ออนไลน์และความยั่งยืนมากขึ้น ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความผันผวนทางเศรษฐกิจในตลาดหลักอย่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากการดำเนินธุรกิจในหลายสกุลเงิน ก็เป็นปัจจัยที่ต้องบริหารจัดการอย่างระมัดระวัง การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจาก Digital Native Brand (แบรนด์ที่ก่อตั้งและเติบโตขึ้นมาโดยมีรากฐานอยู่บนโลกออนไลน์ตั้งแต่แรกเริ่ม) และแบรนด์หรูหราใหม่ๆ ที่เข้าใจผู้บริโภคยุคใหม่ได้ดี ยังเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ LVMH ต้องเผชิญ

 

 

อนาคตและโอกาสการเติบโต

 

อนาคตของ LVMH มีโอกาสเติบโตจากหลายมิติ การเติบโตของชนชั้นกลางในตลาดเอเชีย โดยเฉพาะอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดโอกาสขยายฐานลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพสูง การลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลและประสบการณ์ออนไลน์ จะช่วยให้เข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ได้ดีขึ้น พร้อมกับการพัฒนาแพลตฟอร์ม e-commerceและบริการส่วนบุคคล นอกจากนี้ การเน้นความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม ผ่านโครงการต่างๆ เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิลและการลดการปล่อยคาร์บอน จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม การขยายธุรกิจไปยังกลุ่มสินค้าและบริการใหม่ เช่น ความบันเทิงและไลฟ์สไตล์ดิจิทัล ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่น่าสนใจสำหรับการเติบโตในอนาคต

 

สนใจลงทุนในหุ้น LVMH (Ticker: MC.PA หรือ DR:LVMH01) และหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

Stocks Mentioned
MCp.CHI
Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5