Keyword
Company History

Nike (NKE) จากแค่แบรนด์รองเท้า สู่จักรวาลโลกกีฬาที่ครองใจนักลงทุนมากว่า 50 ปี

2 Jul 25 10:43 AM
Nike (NKE) จากแค่แบรนด์รองเท้า สู่จักรวาลโลกกีฬาที่ครองใจนักลงทุนมากว่า 50 ปี
สรุปสาระสำคัญ

Nike Inc (NKE) บริษัทออกแบบและผลิตสินค้ากีฬาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange (NYSE) กำลังประเดิมการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ Elliott Hill CEO คนใหม่ที่มีประสบการณ์ยาวนานกับแบรนด์นี้มากว่า 32 ปี ด้วยกลยุทธ์ "Win Now" ที่เน้น 5 สาขากีฬาหลัก มุ่งสู่การฟื้นฟูแบรนด์และผลักดันสินค้าใหม่สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นของ Nike ไม่ได้อยู่ที่ขนาดของธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่คือความสามารถในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ผูกพันกับอารมณ์ของผู้บริโภค ทั้งจากนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่าง Air Max และ Air Jordan รวมถึงการสร้างแคมเปญการตลาดที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ Nike ไม่ใช่แค่บริษัทขายรองเท้า แต่เป็นสัญลักษณ์ของการไม่ยอมแพ้และความเป็นเลิศทางกีฬา

ประวัติและวิวัฒนาการของ Nike

 

Nike เริ่มต้นในปี 1962 จากการที่ Phil Knight นักศึกษาปริญญาโทจาก Stanford Graduate School of Business เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อหาแหล่งผลิตรองเท้าวิ่งคุณภาพดีราคาถูก ปี 1964 เขาร่วมกับ Bill Bowerman โค้ชวิ่งจากมหาวิทยาลัย Oregon ก่อตั้งบริษัท Blue Ribbon Sports เพื่อนำเข้ารองเท้า Onitsuka Tiger มาขายในสหรัฐฯ ปี 1971 บริษัทเปลี่ยนชื่อเป็น Nike มาจากเทพีแห่งชัยชนะในปกรณัมกรีก พร้อมกับโลโก้ Swoosh ที่ออกแบบโดย Carolyn Davidson ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์โด่งดังที่สุดในโลกกีฬา

 

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 1979 เมื่อ Nike เปิดตัวรองเท้า Air Tailwind รุ่นแรกที่มีเทคโนโลยีถุงลมในพื้นรองเท้า ปี 1985 การร่วมมือกับ Michael Jordan ก่อกำเนิดสาย Air Jordan ซึ่งไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงตลาดรองเท้าบาสเกตบอล แต่ยังสร้างมูลค่าให้แบรนด์ Jordan กลายเป็นธุรกิจหลายพันล้านดอลลาร์ ปี 1988 Nike เปิดตัวแคมเปญ "Just Do It" ที่กลายเป็นสโลแกนโด่งดังที่สุดในโลกการตลาด ปี 1990 เปิดตัว Air Max ที่แสดงเทคโนโลยี Air ให้เห็นชัดเจน และในปี 2003 Nike เข้าซื้อแบรนด์ Converse เพื่อเสริมพอร์ตโฟลิโอสินค้า

 

 

โครงสร้างรายได้ที่หลากหลายครอบคลุมทุกกลุ่มผู้บริโภค

 

Nike มีโครงสร้างรายได้ที่สมดุลจากทั้งสายผลิตภัณฑ์และแบรนด์ โดยแบ่งออกเป็น 4 ธุรกิจหลัก

 

1. รองเท้า (Footwear) - 68% ของรายได้รวม

เป็นแกนหลักของธุรกิจที่ครอบคลุมรองเท้ากีฬาทุกประเภท ตั้งแต่การวิ่ง บาสเกตบอล ฟุตบอล ไปจนถึงรองเท้าสำหรับใส่ทั่วไป (Sportswear) กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากเทรนด์ Athleisure ที่ผู้บริโภคนิยมใส่รองเท้ากีฬาในชีวิตประจำวัน รวมถึงการขยายตัวของตลาดรองเท้าผู้หญิงและเด็ก

 

2. เสื้อผ้า (Apparel) - 27% ของรายได้รวม

รวมเสื้อผ้ากีฬาสำหรับทุกกิจกรรม ตั้งแต่ชุดออกกำลังกาย เสื้อผ้าสำหรับนักกีฬามืออาชีพ ไปจนถึงเสื้อผ้าลำลองที่ผสมผสานแฟชั่นและฟังก์ชัน กลุ่มธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตจากนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีผ้า เช่น Dri-FIT และการขยายไปสู่เสื้อผ้าสำหรับผู้หญิง

 

3. อุปกรณ์กีฬา (Equipment) - 4% ของรายได้รวม

ประกอบด้วยลูกฟุตบอล ถุงเท้า นาฬิกาออกกำลังกาย และอุปกรณ์เสริมต่างๆ แม้จะมีสัดส่วนเล็ก แต่มีแนวโน้มเติบโตจากการขยายตัวของตลาดเทคโนโลยีสุขภาพและการออกกำลังกาย

 

4. อื่นๆ (Others) - 1% ของรายได้รวม

รายได้จากไลเซนซ์และธุรกิจบริการอื่นๆ

 

nike.png

 

กลยุทธ์ "Win Now" และจุดแข็งในการแข่งขัน

 

Nike วางกลยุทธ์การเติบโตภายใต้แนวคิด "Win Now" ที่เน้น 5 สาขากีฬาหลัก ได้แก่ การวิ่ง บาสเกตบอล ฟุตบอล การฝึกซ้อม และ Sportswear ในการที่จะเน้นลงทุนใน 3 ประเทศหลัก คือ สหรัฐอเมริกา จีน และสหราชอาณาจักร รวมถึง 5 เมืองสำคัญ คือ นิวยอร์ก ลอสแองเจลิส ลอนดอน ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้

 

จุดแข็งหลักของ Nike คือความสามารถในการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Air Zoom ในรองเท้าวิ่ง Pegasus Premium หรือผ้า Dri-FIT ที่ระบายความชื้นได้ดี นอกจากนี้ Nike ยังมีความเชี่ยวชาญในการสร้างเรื่องราวและการตลาดที่สร้างแรงบันดาลใจ เช่น แคมเปญ "Just Do It" และการร่วมมือกับนักกีฬาชื่อดัง

 

บริษัทยังมีระบบ Digital Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ผ่านแอปพลิเคชัน Nike Training Club, Nike Run Club และแพลตฟอร์ม SNKRS ที่ช่วยสร้างชุมชนของนักกีฬาและคนรักกีฬา พร้อมกับการใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค

 

 

การเปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก

 

เทียบกับ Adidas AG (ADSD) ในเยอรมนี: Adidas ก่อตั้งในปี 1949 โดย Adi Dassler หลังแยกทางจากพี่ชายซึ่งต่อมาก่อตั้ง Puma ด้วยรากฐานจากโรงงานรองเท้าครอบครัว Adidas เติบโตเป็นหนึ่งในผู้นำด้านผลิตภัณฑ์กีฬาและแฟชั่น ด้วยจุดแข็งในตลาดยุโรป กีฬาฟุตบอล และรองเท้าแฟชั่นสายสตรีทที่ผสานเทคโนโลยีและดีไซน์เข้าด้วยกัน นอกจากนี้ Adidas ยังขยายตลาดผ่านความร่วมมือกับศิลปินและแบรนด์แฟชั่น เช่น Yeezy และ Prada เพื่อเสริมภาพลักษณ์ไลฟ์สไตล์ของแบรนด์

 

ทั้ง Nike และ Adidas ลงทุนอย่างมากใน การวิจัยและพัฒนา และการตลาด โดยเน้นการสร้างแบรนด์ผ่านนักกีฬาระดับโลก อย่างไรก็ตาม Nike มีความโดดเด่นด้านกลยุทธ์ Direct to Consumer และการใช้เทคโนโลยี เช่น Air, Zoom ขณะที่ Adidas มีการเติบโตผ่านพาร์ทเนอร์ในแฟชั่น และใช้เทคโนโลยีเช่น Boost และ Primeknit เป็นหลัก ทั้งคู่มีจุดต่างชัดเจนในด้านผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์ และภูมิศาสตร์ของตลาดเป้าหมาย ซึ่งทำให้ Nike และ Adidas สามารถเติบโตไปพร้อมกันในตลาดโลกโดยมีจุดยืนทางแบรนด์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน.

 

 

เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย 

 

เทียบกับ Warrix Sport PCL (WARRIX): Warrix เป็นแบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬาไทยที่ก่อตั้งในปี 2013 รายได้หลักมาจากการจำหน่ายเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาที่มีการออกแบบเฉพาะตามแคมเปญหรือการแข่งขันต่าง ๆมีจุดยืนชัดเจนในการเป็นแบรนด์กีฬาแห่งความภาคภูมิใจของคนไทย โดยเฉพาะผ่านการสนับสนุนทีมชาติไทยในระดับทีมชาติและระดับสโมสร กลยุทธ์ของ Warrix มุ่งเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนรักกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอลซึ่งเป็นตลาดหลักของแบรนด์ รวมถึงการสร้างแบรนด์ผ่านอารมณ์ร่วมของแฟนกีฬา และการขยายผ่านทั้งช่องทางค้าปลีกและพันธมิตรในอาเซียน

 

ทั้งสองแบรนด์มีจุดร่วมหลายด้าน ทั้งคู่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเครื่องแต่งกายกีฬา มีเป้าหมายหลักคือผู้รักกีฬาและแฟนกีฬา และใช้กีฬาเป็นแกนหลักในการสร้างแบรนด์ ทั้ง Warrix และ Nike ต่างใช้กลยุทธ์การสร้างเอกลักษณ์ผ่านการสนับสนุนทีมชาติหรือทีมกีฬา ความแตกต่างที่ชัดเจนคือ Nike มีเครือข่ายระดับโลก ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง และโมเดล Direct-to-Consumer ที่แข็งแรง ขณะที่ Warrix ยังอยู่ในช่วงของการสร้างฐานลูกค้าในระดับภูมิภาค

 

 

ความท้าทายและการแข่งขันในตลาด

 

Nike เผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากแบรนด์ในประเทศจีนอย่าง Li-Ning และ Anta ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดท้องถิ่น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปสนใจแบรนด์ใหม่ๆ มากขึ้น

 

บริษัทยังต้องรับมือกับความผันผวนของสภาพเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ตลอดจนต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากปัญหาห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ Nike ยังต้องจัดการกับความท้าทายในการปรับลดการพึ่งพาสินค้าคลาสสิกอย่าง Air Force 1, Dunk และ Air Jordan 1 ที่เคยเป็นแกนหลักของการเติบโต

 

ในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม Nike ต้องรับมือกับความคาดหวังที่สูงขึ้นจากผู้บริโภคเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม ความยั่งยืน และจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการบริหารห่วงโซ่อุปทานให้โปร่งใสและเป็นธรรม

 

 

อนาคตและโอกาสของ Nike

 

Nike มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องจากหลายปัจจัย เริ่มต้นจากเทรนด์ Athleisure ที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงและเยาวชน ซึ่งเป็นตลาดที่ Nike กำลังขยายการลงทุนอย่างจริงจัง บริษัทยังมีโอกาสจากการเติบโตของตลาดกีฬาในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในเอเชียที่มีชนชั้นกลางที่เติบโตและหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น

 

นวัตกรรมด้านเทคโนโลยียังเป็นโอกาสสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาวัสดุใหม่ การใช้ AI ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือการสร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับผู้บริโภคได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น Nike ยังมีแผนขยายธุรกิจ Direct-to-Consumer ให้มีสัดส่วนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรและความสามารถในการควบคุมประสบการณ์ของลูกค้า

 

การเป็นพันธมิตรกับลีกกีฬาใหญ่อย่าง NBA, NFL และการสนับสนุนนักกีฬาระดับโลก ยังคงเป็นจุดแข็งที่จะช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์และขับเคลื่อนยอดขายในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อกีฬาเหล่านี้มีการขยายฐานแฟนคลับสู่ตลาดโลก

 

สนใจลงทุนในหุ้น Nike (Ticker: NKE, Dr: NIKE80) และหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย!👉https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

 

Stocks Mentioned
NKE.N
Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5