ใครจะเชื่อว่า “กล่องสุ่ม” จะเปลี่ยนวงการของเล่นให้กลายเป็นธุรกิจระดับโลก! แต่ Pop Mart (9992.HK) ทำได้ - ด้วยโมเดล Blind Box ที่คนแห่ซื้อเพื่อสะสมตัวละครลับ ลุ้นสนุก แชร์กันสนั่นโซเชียล ทำยอดขายถล่มทลายทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ยันอเมริกา แถมยังกระจายรายได้จากหลายกลุ่มสินค้า ทั้งตุ๊กตาผ้า MEGA Collection และของใช้ไลฟ์สไตล์ นี่คือแบรนด์ที่กำลังสร้างจักรวาลของตัวเอง และกลายเป็น “ของเล่นในพอร์ตลงทุน” ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน
จากร้านเล็กสู่ผู้นำตลาดของเล่นโลก
Pop Mart ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 โดยเริ่มต้นจากธุรกิจจำหน่ายของเล่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ในห้างสรรพสินค้า ในช่วง 7 ปีแรก บริษัทยังเป็นเพียงร้านค้าทั่วไปที่ไม่มีอะไรโดดเด่น
จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เกิดขึ้นในช่วงปี 2017-2019 เมื่อบริษัทค้นพบพฤติกรรมผู้บริโภคที่ชื่นชอบการสะสมตัวละครและความตื่นเต้นจากการลุ้นโชค จึงพัฒนาโมเดล "Blind Box" พร้อมเปิดตัวตัวละคร MOLLY ที่ได้รับความนิยมสูง
ช่วงรุ่งโรจน์ที่แท้จริงเริ่มต้นในปี 2020 เมื่อ Pop Mart เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงและเริ่มขยายสู่ตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการเปิดตัวตัวละคร THE MONSTERS (Labubu) ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ไวรัลทั่วโลก ทำให้บริษัทเติบโตอย่างระเบิดและหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 400% จนถึงปัจจุบัน บริษัทจึงพัฒนาโมเดล "Blind Box" ที่ผู้บริโภคไม่รู้ว่าจะได้ตัวละครไหนจนกว่าจะเปิดกล่อง
โครงสร้างรายได้ที่หลากหลาย ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ
Pop Mart ไม่ได้พึ่งพารายได้จากสินค้าเพียงกลุ่มเดียว แต่มีการกระจายพอร์ตผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน ปัจจุบันรายได้ของบริษัทมาจาก 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
- ตุ๊กตาสะสม (Figurines) – 53%
กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากตลาด collectibles ที่ขับเคลื่อนด้วย “kidult trend” และความนิยมในของสะสมรุ่นลิมิเต็ด‑อิดิชั่น
- ตุ๊กตาผ้า (Plush Toys) – 22%
กลุ่มนี้เติบโตแรงจาก consumer Comfort นำโดย Gen Z, กระแส social media (TikTok) และ “kidult” phenomenon
- MEGA Collection – 13% ตุ๊กตาขนาดใหญ่พิเศษที่เน้นเจาะตลาดนักสะสมระดับพรีเมียม
กลุ่ม MEGA หรือของสะสมพรีเมียมเติบโตควบคู่กับตลาด collectibles โดยเฉพาะ animation/action figures CAGR ~8–11%
- Accessories & Lifestyle – 12% เครื่องประดับ กระเป๋า หรือของใช้ในชีวิตประจำวัน
สินค้าแฟชั่น/เครื่องประดับ (รวมกระเป๋า ของใช้งานได้จริง) เติบโตจาก global accessories market ที่มีค่า ~USD 752 B และ CAGR ~7.9% ต่อปี
โครงสร้างรายได้ที่กระจายตัวเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสินค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ Pop Mart สามารถขยายฐานลูกค้าและสร้างการเติบโตในแนวดิ่งได้ในอนาคต
กลยุทธ์การเติบโตและจุดแข็งของ Pop Mart
Pop Mart วางกลยุทธ์การเติบโตอย่างชัดเจนผ่านการขยายฐานลูกค้า ทั้งในประเทศจีนและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ผ่านการเปิดร้านค้าปลีกและการติดตั้งเครื่องขายอัตโนมัติ (Roboshop) ในทำเลที่มีศักยภาพ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้มากขึ้น
อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของความสำเร็จ คือ การพัฒนา Intellectual Property (IP) และตัวละครที่มีเอกลักษณ์ Pop Mart ไม่ได้ขายแค่ “ของสะสม” แต่สร้างตัวละครที่มีเรื่องราวและบุคลิกเฉพาะตัว ทำให้ลูกค้าเกิดความผูกพันทางอารมณ์ นำไปสู่การสะสมและติดตามอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น บริษัทยังต่อยอดจากตุ๊กตาฟิกเกอร์ไปสู่หมวดหมู่สินค้าอื่น เช่น ตุ๊กตาผ้า สินค้าขนาดใหญ่ และของใช้ต่าง ๆ ภายใต้ธีมของตัวละครเดิม ช่วยกระจายรายได้และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย
จุดแข็งที่โดดเด่นที่สุดของ Pop Mart คือ ระบบนิเวศแบบครบวงจร ตั้งแต่การสร้าง IP การผลิต การจัดจำหน่าย ไปจนถึงการสร้างชุมชนผู้บริโภค ผ่านแอปพลิเคชันที่เปิดให้สมาชิกแลกเปลี่ยนตุ๊กตา แชร์ประสบการณ์ และติดตามข่าวสารใหม่ ๆ สิ่งนี้ช่วยสร้างความภักดีของลูกค้า (customer loyalty) และกระตุ้นการซื้อซ้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
เปรียบเทียบกับคู่แข่ง
Funko (FNKO):
Pop Mart และ Funko (FNKO) ต่างมีรูปแบบธุรกิจที่โดดเด่นและแตกต่างกันอย่างชัดเจนในตลาดของเล่นสะสมระดับโลก โดย Funko เน้นการซื้อลิขสิทธิ์จากแฟรนไชส์ดังอย่าง Marvel, Disney และ Harry Potter เพื่อนำมาผลิตตุ๊กตา Pop! Vinyl ที่ลูกค้ารู้ล่วงหน้าว่าจะได้ตัวละครใด ขณะที่ Pop Mart เน้นสร้างตัวละครออริจินัลเองถึง 85% และใช้กลยุทธ์ “Blind Box” ที่ทำให้ลูกค้าต้องลุ้นตัวละคร เพิ่มความตื่นเต้นและกระตุ้นการซื้อซ้ำ นอกจากนี้ Pop Mart ยังมีระบบจัดจำหน่ายแบบครบวงจร ตั้งแต่ร้านค้าเฉพาะ เครื่องขายอัตโนมัติ ไปจนถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ ขณะที่ Funko พึ่งพาช่องทางจำหน่ายของบุคคลที่สามเป็นหลัก
เมื่อเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย
Moshimoshi:
ในตลาดไทย แม้จะไม่มีบริษัทที่ทำธุรกิจของเล่นสะสมเหมือนกันโดยตรง แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับร้านค้าสินค้าไลฟ์สไตล์อย่าง Moshimoshi ก็จะเห็นความแตกต่างที่น่าสนใจ เพราะ Moshimoshi เน้นขายสินค้าราคาจับต้องได้ในหมวดหมู่หลากหลาย ตั้งแต่ของใช้ในบ้านไปจนถึงเครื่องเขียน ในขณะที่ Pop Mart โฟกัสกับการสร้าง “ประสบการณ์สะสม” เป็นหลัก โดยวางตำแหน่งตัวเองให้ใกล้ชิดกับแฟนคลับผ่านชุมชนสะสม ใช้เทคโนโลยีอย่างแอปฯ สำหรับแลกเปลี่ยนของเล่น ตลอดจนการสร้างคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดีย เพื่อให้เกิดความผูกพันทางอารมณ์กับแบรนด์มากกว่าการเป็นแค่ร้านขายของ
ความท้าทายและการแข่งขันในตลาด
แม้ว่า Pop Mart จะได้รับความนิยมอย่างสูง แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์ทั้งในและต่างประเทศ ที่ต่างพยายามใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่างและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภค นอกจากนี้ การรักษาความสดใหม่ของสินค้าและการออกแบบตัวละครใหม่อย่างต่อเนื่องก็เป็นภารกิจที่ท้าทาย เนื่องจากความสนใจของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงเร็ว รวมถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้หลักจากกลุ่มวัยรุ่นและนักสะสม ทำให้ Pop Mart ต้องบริหารจัดการความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การตลาดอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้สูญเสียความได้เปรียบในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
อนาคตและโอกาสของ Pop Mart
ในอนาคต Pop Mart มีโอกาสที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยการขยายตลาดไปยังภูมิภาคใหม่ ๆ รวมถึงการสร้างสรรค์ IP ใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคหลากหลายกลุ่มมากขึ้น บริษัทสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเสริมสร้างประสบการณ์ลูกค้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่น การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการแลกเปลี่ยนหรือการสร้างคอมมูนิตี้ของแฟนคลับ ตลอดจนการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไลฟ์สไตล์และของสะสมขนาดใหญ่ที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดพรีเมียมได้ดี ทั้งนี้ การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมบันเทิงหรือเทคโนโลยีก็จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและการเติบโตในอนาคต
สนใจลงทุนในหุ้น Pop Mart (9992.HK) และหุ้นเติบโตอื่น ๆ จากทั่วโลกได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX ที่ให้คุณเข้าถึงการลงทุนระดับโลกได้แบบไร้ขีดจำกัด
สนใจเปิดบัญชีลงทุน คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
