Rolls-Royce Holdings plc (LSE: RR) บริษัทวิศวกรรมและเทคโนโลยีสัญชาติอังกฤษ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ไม่เพียงเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์การบินระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีขั้นสูงที่ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องยนต์เรือดำน้ำนิวเคลียร์ไปจนถึงระบบพลังงานสะอาดยุคใหม่ บริษัทมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับ Boeing ในฐานะผู้ผลิตเครื่องยนต์หลักสำหรับเครื่องบิน Boeing 787 Dreamliner ผ่านเครื่องยนต์ Trent 1000 ที่เป็นหนึ่งในสองตัวเลือกสำหรับเครื่องบินรุ่นนี้ นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมในโครงการเครื่องบินทหารหลายโครงการของ Boeing ด้วยประสบการณ์กว่า 100 ปีในการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย บริษัทกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญหลังจากผ่านพ้นวิกฤติ COVID-19 ที่เกือบทำลายธุรกิจ ปัจจุบัน Rolls-Royce ได้ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่และกลับมาทำกำไรอย่างแข็งแกร่ง พร้อมเป็นผู้นำในการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors) ที่จะเป็นแหล่งพลังงานสะอาดแห่งอนาคต
นอกจากนี้ข้อยกเว้นภาษีสำหรับเครื่องยนต์และชิ้นส่วนอากาศยาน: ข่าวสารล่าสุด ระบุว่า Rolls-Royce ได้รับข้อยกเว้นจากภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับการนำเข้าจากสหราชอาณาจักรเข้าสู่สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเครื่องยนต์อากาศยานและชิ้นส่วนเครื่องบิน นี่คือประโยชน์ทางตรงที่สำคัญมาก เพราะช่วยลดภาระต้นทุนภาษีโดยตรงสำหรับผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทในตลาดที่สำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ใช้งานเครื่องบินและเครื่องยนต์ของ Rolls-Royce จำนวนมาก ทั้งในเชิงพาณิชย์และทางทหาร
Rolls-Royce เริ่มต้นจากการร่วมมือระหว่าง Henry Royce วิศวกรไฟฟ้าผู้เพียบพร้อมและ Charles Rolls ผู้ประกอบการรถยนต์ในปี 1904 ด้วยปณิธานที่จะผลิตรถยนต์ที่ดีที่สุดในโลก การก่อตั้งบริษัท Rolls-Royce Limited ในปี 1906 นำไปสู่การผลิตรถยนต์ Silver Ghost ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น "รถยนต์ที่ดีที่สุดในโลก"
จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อบริษัทเริ่มผลิตเครื่องยนต์การบิน Eagle ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเป็นผู้นำด้านเครื่องยนต์การบินในอนาคต ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง Rolls-Royce ได้พัฒนาเครื่องยนต์ Merlin ที่โด่งดังจากการใช้ในเครื่องบินขับไล่ Spitfire และ Hurricane ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการชนะสงคราม
ยุคหลังสงครามเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติเทคโนลยี เมื่อ Frank Whittle และทีมงานได้พัฒนาเครื่องยนต์เจ็ตรุ่นแรกของโลก ทำให้ Rolls-Royce กลายเป็นผู้บุกเบิกในยุคการบินด้วยเครื่องยนต์เจ็ต ในทศวรรษ 1960-1970 บริษัทได้พัฒนาเครื่องยนต์ RB211 สำหรับเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่ แม้จะเผชิญกับวิกฤติทางการเงินที่นำไปสู่การเข้าแทรกแซงของรัฐบาลอังกฤษในปี 1971
การแยกธุรกิจรถยนต์ออกไปในปี 1973 ทำให้ Rolls-Royce สามารถมุ่งเน้นไปที่เครื่องยนต์การบินและขยายสู่ธุรกิจทหาร โดยเฉพาะการพัฒนาเครื่องยนต์สำหรับเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของกองทัพเรืออังกฤษ ในช่วงทศวรรษ 1980-1990 บริษัทได้พัฒนาเครื่องยนต์ Trent ซึ่งกลายเป็นตระกูลเครื่องยนต์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยใช้ใน Airbus A330, A340, A350, A380 และ Boeing 777, 787 Dreamliner
เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 Rolls-Royce ขยายธุรกิจสู่ระบบพลังงานและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า พร้อมการลงทุนในเทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก การเข้าซื้อบริษัทต่างๆ ทำให้ Rolls-Royce กลายเป็นกลุ่มบริษัทที่มีความหลากหลายทางธุรกิจมากขึ้น แต่ก็เผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่เมื่อเกิดโรคระบาด COVID-19 ที่ทำให้อุตสาหกรรมการบินหยุดชะงัก บริษัทต้องระดมทุนและปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO Tufan Erginbilgic ผู้มีประสบการณ์จากอุตสาหกรรมพลังงาน ทำให้บริษัทฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในปัจจุบัน
Rolls-Royce มีโครงสร้างรายได้ที่กระจายความเสี่ยงได้ดี แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มธุรกิจหลัก:
1. Civil Aerospace – 50% ของรายได้รวม
ธุรกิจเครื่องยนต์การบินพาณิชย์ที่เป็นแกนหลักของบริษัท ครอบคลุมการผลิตเครื่องยนต์ใหม่และบริการหลังการขาย (Aftermarket Services) โดยมีรายได้แบ่งเป็นการขายเครื่องยนต์ใหม่ 34% และบริการหลังการขาย 66% กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินและความต้องการเครื่องบินประหยัดน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
2. Defence - 25% ของรายได้รวม
ธุรกิจป้องกันประเทศที่ครอบคลุมเครื่องยนต์สำหรับเรือดำน้ำ เรือรบ เครื่องบินทหาร และยานพาหนะขนส่งทางทหาร กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตจากการเพิ่มขึ้นของงบประมาณด้านการป้องกันประเทศของหลายประเทศ โดยเฉพาะโครงการ AUKUS (ความร่วมมือด้านเรือดำน้ำระหว่างออสเตรเลีย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา)
3. Power Systems - 24% ของรายได้รวม
ธุรกิจระบบพลังงานและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำหรับศูนย์ข้อมูล โรงงานอุตสาหกรรม และภาคราชการ รวมถึงระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage Systems - BESS) กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตจากความต้องการพลังงานสำรองของศูนย์ข้อมูลและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
4. New Markets (SMR และอื่นๆ) - น้อยกว่า 1% ของรายได้รวม
ธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors) ซึ่งยังอยู่ในระยะพัฒนาแต่มีศักยภาพสูงในการสร้างรายได้ในอนาคต
Rolls-Royce ดำเนินแผนการปรับโครงสร้างอย่างเข้มข้นภายใต้การนำของ CEO Tufan Erginbilgic โดยมุ่งเน้นการลดต้นทุนผ่านการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน การเจรจาสัญญาใหม่กับลูกค้าเพื่อเพิ่มอัตรากำไร และการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ บริษัทได้ลดอัตราส่วนต้นทุนรวมต่อกำไรขั้นต้น (Total Cash Cost to Gross Margin) จาก 0.59 เท่าในปี2023 เป็น 0.47 เท่า ในปี 2024 และบรรลุสถานะเงินสดสุทธิเป็นบวกเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
จุดแข็งที่โดดเด่นคือฐานลูกค้าในธุรกิจบริการหลังการขาย (Aftermarket) ที่สร้างรายได้สม่ำเสมอจากสัญญาบริการระยะยาว (Long Term Service Agreements - LTSA) การมีเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ล้ำสมัย เช่น เครื่องยนต์ UltraFan ที่ประหยัดน้ำมันได้ดีกว่าเครื่องยนต์รุ่นเดิม และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่ทำให้สามารถพัฒนา Small Modular Reactors ได้
เปรียบเทียบกับ General Electric (GE) ในสหรัฐอเมริกา: General Electric เป็นอีกหนึ่งผู้ผลิตเครื่องยนต์การบินรายใหญ่ของโลก ที่มีธุรกิจหลากหลายตั้งแต่เครื่องยนต์การบิน พลังงาน การแพทย์ ไปจนถึงเทคโนโลยีดิจิทัล GE มีฐานลูกค้าในสหรัฐอเมริกาและมีความแข็งแกร่งในเครื่องยนต์ CFM56 และ LEAP ขณะที่ Rolls-Royce เด่นในตลาดเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินลำใหญ่ (Wide-body Aircraft) และมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่ GE ไม่มี ทั้งสองบริษัทแข่งขันกันในตลาดเครื่องยนต์การบินพาณิชย์ แต่มีจุดแข็งต่างกันในกลุ่มผลิตภัณฑ์และตลาดเป้าหมาย
เปรียบเทียบกับบริษัทไทย - บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) และ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (GULF): แม้ว่าจะไม่สามารถเปรียบเทียบการบินไทยได้โดยตรง เนื่องจากอยู่คนละด้านของห่วงโซ่อุปทานกับ Rolls-Royce แต่กลับมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยทั้งสองบริษัทอยู่ในระบบนิเวศเดียวกันของอุตสาหกรรมการบิน การบินไทยเป็นสายการบินที่ใช้เครื่องยนต์ Rolls-Royce ในเครื่องบินหลายรุ่น เช่น Airbus A350 (เครื่องยนต์ Trent XWB) และ Boeing 777 (เครื่องยนต์ Trent 800) ความสำเร็จของการบินไทยส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของ Rolls-Royce จากธุรกิจบริการหลังการขาย เช่น การซ่อมบำรุงเครื่องยนต์และการจัดหาชิ้นส่วน ทั้งสองยังมีจุดร่วมในการเน้นความปลอดภัย คุณภาพการให้บริการระดับสูง และความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค นอกจากนี้ทั้งคู่ผ่านช่วงวิกฤติ COVID-19 และต้องปรับโครงสร้างเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ แต่ธุรกิจของทั้งสองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยการบินไทยเป็นผู้ให้บริการขนส่งผู้โดยสาร ขณะที่ Rolls-Royce เป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีและอุปกรณ์
ส่วน GULF เป็นบริษัทพลังงานที่มีความคล้ายคลึงกับ Rolls-Royce ในด้านความหลากหลายทางธุรกิจ โดย GULF ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และพลังงานทดแทน ขณะที่ Rolls-Royce ครอบคลุมเครื่องยนต์การบิน ระบบป้องกันประเทศ และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ทั้งสองบริษัทมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและลงทุนในนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง GULF กำลังขยายสู่เทคโนโลยีใหม่อย่างระบบกักเก็บพลังงาน ในขณะที่ Rolls-Royce พัฒนาเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม Rolls-Royce มีการดำเนินงานระดับโลกและเทคโนโลยีที่ซับซ้อนกว่า
Rolls-Royce เผชิญกับความท้าทายหลายประการที่อาจส่งผลต่อการเติบโตในอนาคต ปัญหาหลักคือความผันผวนของห่วงโซ่อุปทานที่ยังคาดว่าจะคงอยู่อีก 12-18 เดือน ซึ่งเกิดจากการขาดแคลนวัตถุดิบสำคัญ เช่น โลหะผสมพิเศษและชิ้นส่วนแปรรูปที่ต้องใช้ความแม่นยำสูง ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลต่อการส่งมอบเครื่องยนต์ใหม่เท่านั้น แต่ยังเพิ่มต้นทุนการผลิตและอาจทำให้บริษัทเสียโอกาสในการแข่งขันกับคู่แข่งที่มีห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคงกว่า
การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดเครื่องยนต์การบินเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่สำคัญ โดยเฉพาะจาก General Electric ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงในเครื่องบินลำกลาง และ Pratt & Whitney ที่มีเครื่องยนต์ GTF ที่ประหยัดน้ำมันเป็นพิเศษ การที่ลูกค้าสายการบินมีตัวเลือกมากขึ้นอาจกดดันให้ Rolls-Royce ต้องปรับลดราคาหรือเสนอเงื่อนไขที่ดีกว่าเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด ซึ่งส่งผลต่ออัตรากำไรในระยะยาว
ลักษณะการทำธุรกิจที่พึ่งพิงรายได้จากบริการหลังการขาย (Aftermarket) มากกว่า 60% ของรายได้ในธุรกิจการบินพาณิชย์ ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการเดินทางหลัง COVID-19 ที่อาจทำให้เที่ยวบินระยะไกลลดลง การพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ทนทานกว่าเดิมจนลดความถี่ในการซ่อมบำรุง หรือการเกิดวิกฤติโลกอีกครั้งที่อาจทำให้อุตสาหกรรมการบินหยุดชะงักเหมือนเดิม
ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีและการลงทุนก็เป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะโครงการ Small Modular Reactors ที่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลและเวลาพัฒนานาน แม้จะมีศักยภาพในการสร้างรายได้สูง แต่ยังมีความไม่แน่นอนด้านเทคโนโลยี กฎระเบียบ และการยอมรับจากสังคม ถ้าโครงการล้มเหลวหรือล่าช้าอาจส่งผลเสียต่อแผนการเติบโตระยะยาวของบริษัท
ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็มีผลต่อธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจป้องกันประเทศที่พึ่งพิงนโยบายรัฐบาลและสถานการณ์ความมั่นคงโลก การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศลูกค้าสำคัญหรือการเกิดข้อพิพาทการค้าระหว่างประเทศอาจส่งผลต่อคำสั่งซื้อในอนาคต นอกจากนี้ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐที่เป็นสกุลเงินหลักในการทำธุรกรรม อาจส่งผลต่อรายได้และต้นทุนของบริษัทที่มีฐานการดำเนินงานในหลายประเทศ
อนาคตของ Rolls-Royce มีแนวโน้มสดใสจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินและการขยายส่วนแบ่งตลาดในเครื่องบินลำใหญ่และเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว โครงการ Small Modular Reactors อาจกลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่สำคัญเมื่อโลกต้องการพลังงานสะอาดมากขึ้น ธุรกิจป้องกันประเทศได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มงบประมาณด้านการทหารของหลายประเทศ โดยเฉพาะโครงการเรือดำน้ำนิวเคลียร์ AUKUS ที่จะสร้างรายได้ระยะยาว การพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่มุ่งสู่ความยั่งยืน
สนใจลงทุนในหุ้น Rolls-Royce Holdings (RR.L) และหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน