Keyword
Company History

Samsung Electronics Co., Ltd. (005930) Samsung มือถือเดียว คุมทุกอุปกรณ์ ด้วย AI ที่เข้าใจคุณ

2 Jul 25 10:26 AM
Samsung Electronics Co., Ltd. (005930) Samsung มือถือเดียว คุมทุกอุปกรณ์ ด้วย AI ที่เข้าใจคุณ
สรุปสาระสำคัญ

Samsung Electronics Co., Ltd. (005930) บริษัทเทคโนโลยีหลากหลายธุรกิจจากเกาหลีใต้ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โซล (Korea Exchange) เป็นปรากฏการณ์ที่น่าทึ่งในโลกเทคโนโลยี ด้วยความสามารถในการครองตำแหน่งผู้นำโลกในหลายธุรกิจพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยความจำ (Memory Semiconductor) ที่ครองส่วนแบ่งตลาดโลกกว่า 40% หรือธุรกิจหน้าจอ ที่แม้แต่ Apple ก็ต้องพึ่งพาสำหรับ iPhone รวมถึงการเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับต้นของโลกที่แข่งขันกับ Apple โดยตรง สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ Samsung ไม่เพียงแต่เป็นคู่แข่งของ Apple ในตลาดสมาร์ทโฟน แต่ยังเป็นซัพพลายเออร์สำคัญที่จัดหาชิ้นส่วนหลักให้กับ iPhone อีกด้วย ทำให้ Samsung กลายเป็นบริษัทเดียวในโลกที่มีรูปแบบธุรกิจ "แข่งขันและความร่วมมือ" แบบนี้ได้สำเร็จ 

จากร้านขายผลไม้สู่ยักษ์เทคโนโลยีระดับโลก

 

Samsung ก่อตั้งขึ้นในปี 1938 โดย Lee Byung-chul เริ่มต้นจากธุรกิจร้านขายผลไม้และผักแห้งในเมือง Daegu ประเทศเกาหลีใต้ คำว่า "Samsung" มีความหมายว่า "ดาวสามดวง" ที่สื่อถึงวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งที่ต้องการให้บริษัทเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนเหมือนดวงดาว การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญเกิดขึ้นในทศวรรษ 1970 เมื่อ Samsung เริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและกลายเป็นผู้ผลิตโทรทัศน์ขาวดำชั้นนำของโลก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่อุตสาหกรรม Semiconductors

 

ช่วงทศวรรษ 1980 เป็นยุคแห่งการลงทุนเพื่ออนาคต เมื่อ Samsung จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาสองแห่งที่กลายเป็นรากฐานของเทคโนโลยีระดับโลกในปัจจุบัน พร้อมกับการปรับปรุงโลโก้ให้ดูทันสมัยและเป็นมืออาชีพมากขึ้น ในทศวรรษ 1990 Samsung เริ่มสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเปิดตัวนวัตกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น DRAM (หน่วยความจำชั่วคราว) ขนาด 64 เมกะไบต์แรกของโลก โทรทัศน์ดิจิทัล และโทรศัพท์ MP3 (เครื่องเล่นไฟล์เสียงแบบดิจิทัล) ในช่วงนี้ Samsung ได้ปรับโลโก้ใหม่เป็นตัวอักษรสีขาวบนพื้นหลังวงรีสีน้ำเงิน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นเลิศและเทคโนโลยีขั้นสูง

 

เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัล Samsung ยังคงสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัย และได้ทำการปรับปรุงโลโก้อีกครั้งโดยเอาพื้นหลังวงรีออกและเปลี่ยนตัวอักษรเป็นสี Samsung Blue ที่เป็นเอกลักษณ์ ปัจจุบัน Samsung ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์อย่าง Galaxy Z series สมาร์ทโฟนพับได้ เครื่องใช้ไฟฟ้า Bespoke และ Lifestyle TV พร้อมกับการลงทุนในเทคโนโลยีอนาคตอย่าง 5G/6G, AI และหุ่นยนต์

 

 

โครงสร้างรายได้แบบครอบจักรวาล ครบทุกมิติเทคโนโลยี

 

Samsung มีโครงสร้างรายได้ที่หลากหลายและกระจายความเสี่ยงได้อย่างยอดเยี่ยม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่

  1. Device Solutions (DS) - 60% ของรายได้รวม

กลุ่มธุรกิจ Semiconductors และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นแกนหลักของบริษัท ครอบคลุมหน่วยความจำ (Memory) อย่าง DRAM (หน่วยความจำชั่วคราวที่ใช้ขณะเครื่องทำงาน ยิ่งมากยิ่งเร็ว) และ NAND Flash (หน่วยความจำถาวรที่เก็บข้อมูลแม้ปิดเครื่อง เช่น รูปภาพในมือถือ) ที่ Samsung ครองตำแหน่งผู้นำโลก รวมถึงชิปประมวลผล (System LSI - สมองกลของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) ที่ใช้ในสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งจากการขยายตัวของเทคโนโลยี AI, 5G (เครือข่ายมือถือรุ่นใหม่), Internet of Things หรือ IoT (การเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้าอินเทอร์เน็ต) และการประมวลผลข้อมูลในคลาวด์ (Cloud - เก็บข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต) ที่ต้องใช้หน่วยความจำและพลังประมวลผลสูง

  1. Mobile Experience (MX) - 25% ของรายได้รวม

ธุรกิจอุปกรณ์มือถือและแท็บเล็ตที่รวมสมาร์ทโฟน Galaxy series (ซีรีส์ Galaxy) แท็บเล็ต Galaxy Tab และอุปกรณ์เสริมต่างๆ Samsung เป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับต้นของโลกที่แข่งขันโดยตรงกับ Apple ในกลุ่มพรีเมียม (Premium - ราคาสูง คุณภาพดี) กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตจากการเปลี่ยนผ่านสู่เครือข่าย 5G การพัฒนาสมาร์ทโฟนพับได้ และการรวมเทคโนโลยี AI เข้ากับอุปกรณ์มือถือ

  1. Visual Display (VD) - 15% ของรายได้รวม

ธุรกิจหน้าจอและโทรทัศน์ที่ครอบคลุมจอ LED (หลอดไฟประหยัดไฟที่ให้แสงสว่าง), OLED (จอที่แต่ละจุดเปล่งแสงเอง ทำให้สีดำสมจริง), QLED (จอที่ใช้เทคโนโลยีควอนตัมดอท ให้สีสดใส) สำหรับโทรทัศน์ มอนิเตอร์ และหน้าจอสมาร์ทโฟน Samsung เป็นผู้ผลิตหน้าจอ OLED ชั้นนำของโลกและเป็นซัพพลายเออร์หลักให้กับ Apple สำหรับหน้าจอ iPhone กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตจากความต้องการหน้าจอคุณภาพสูงในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และการพัฒนาเทคโนโลยีหน้าจอใหม่อย่าง Micro LED (หน้าจอแบบใหม่ที่ให้ความสว่างสูงและประหยัดไฟมาก)

samsung.png

โครงสร้างรายได้ที่กระจายตัวนี้ช่วยให้ Samsung มีความยืดหยุ่นสูงในการรับมือกับความผันผวนของตลาดแต่ละกลุ่ม และสามารถใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อระหว่างธุรกิจต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

กลยุทธ์บูรณาการแนวตั้งที่สร้างความได้เปรียบแข่งขัน

 

Samsung มีกลยุทธ์การบูรณาการแนวตั้ง (Vertical Integration - ควบคุมการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ) ที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งส่วนใหญ่ โดยควบคุมห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาชิ้นส่วนพื้นฐาน การผลิต Semiconductors และหน้าจอ ไปจนถึงการประกอบผลิตภัณฑ์สุดท้าย ความสามารถนี้ทำให้ Samsung สามารถควบคุมคุณภาพ ลดต้นทุน และเร่งการพัฒนานวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

จุดแข็งที่สำคัญอีกประการคือการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง Samsung ใช้งบประมาณ R&D (Research & Development - การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่) สูงถึงประมาณ 6-7% ของรายได้รวม ทำให้สามารถพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยและรักษาความเป็นผู้นำในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีการวางกลยุทธ์ "แข่งขันและความร่วมมือ" (Coopetition – แข่งขันแต่ยังทำธุรกิจด้วยกัน คำมาจาก Cooperation and Competition) ที่เป็นเอกลักษณ์ โดยแข่งขันกับ Apple ในตลาดสมาร์ทโฟนแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้จัดหาหลักที่จัดหาชิ้นส่วนสำคัญให้กับ iPhone

 

Samsung ยังมีการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์โดยมีฐานการผลิตและตลาดทั่วโลก ช่วยลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในแต่ละภูมิภาค

 

 

การเปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก

 

เทียบกับ Apple (AAPL) ในสหรัฐอเมริกา: Apple เป็นบริษัทเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ที่ก่อตั้งในปี 1976 โดย Steve Jobs, Steve Wozniak และ Ronald Wayne เริ่มต้นจากการผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ก่อนจะเติบโตเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลก โดยเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นดีไซน์และระบบนิเวศแบบปิด เช่น iPhone, iPad, Mac และบริการอย่าง iCloud และ App Store

 

ทั้งสองบริษัทเป็นผู้นำในตลาดสมาร์ตโฟนระดับโลก โดยแข่งขันกันในกลุ่มพรีเมียมและมีฐานลูกค้าทั่วโลก Apple มุ่งสร้างรายได้จากอุปกรณ์และบริการเสริมผ่านระบบนิเวศแบบบูรณาการ ขณะที่ Samsung ใช้กลยุทธ์แนวกว้าง โดยมีธุรกิจทั้งในส่วนของอุปกรณ์ปลายทาง และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะหน่วยความจำและ OLED ที่ยังส่งให้คู่แข่งอย่าง Apple  จุดต่างที่สำคัญคือ Samsung มีฐานรายได้กระจายมากกว่าทั้งจากสมาร์ตโฟน ชิป และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดย Apple ยึดแนวทางควบคุมประสบการณ์ผู้ใช้แบบเบ็ดเสร็จ มีผลิตภัณฑ์จำกัดแต่พัฒนาอย่างลึกและต่อเนื่อง ส่วน Samsung เน้นการเติบโตผ่านนวัตกรรมฮาร์ดแวร์ การครอบคลุมตลาดหลายระดับราคา และการเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ในห่วงโซ่เทคโนโลยีโลก Apple พึ่งพาการขยายบริการ ขณะที่ Samsung ใช้ความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยีและต้นทุนในการผลักดันยอดขายในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมพร้อมกัน

 

 

การเปรียบเทียบกับคู่แข่งในไทย

 

เทียบกับ Delta Electronics (Thailand) PCL (DELTA): แม้ไทยจะยังไม่มีบริษัทที่เทียบเท่า Samsung โดยตรงแต่ Delta Electronics ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Delta Group จากไต้หวัน นับเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ก่อตั้งในปี 1988 ดำเนินธุรกิจด้านอุตสาหกรรม 4.0 โดยมุ่งพัฒนาอุปกรณ์จ่ายไฟ, ระบบอัตโนมัติในโรงงาน, และโซลูชันด้านพลังงานอัตโนมัติ สำหรับลูกค้า B2B (Business to Business) ทั่วโลก บริษัทมีฐานการผลิตหลักในไทยและเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยรายได้หลักมาจากกลุ่ม Power Supply และ EV Components

 

ทั้งสองมีความร่วมกันในแง่การขยายตลาดระดับโลก การลงทุนใน R&D และการตอบโจทย์เทรนด์พลังงานสะอาดและระบบอุตสาหกรรม 4.0 แต่จุดต่างของ Delta และ Samsung Electronics คือฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรม โดยต่างมุ่งพัฒนาโซลูชันสำหรับภาคอุตสาหกรรมและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับสูง แม้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะแตกต่าง Samsung มีธุรกิจหลากหลายมากกว่า ทั้งในด้านอุปกรณ์ปลายทาง (มือถือ, ทีวี, เครื่องใช้ไฟฟ้า), ชิป Semiconductors และจอแสดงผล โดยมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจที่กระจายกว้าง ขณะที่ DELTA มีขนาดเล็กกว่ามากและเน้นเฉพาะกลุ่ม B2B เป็นหลัก กลยุทธ์การเติบโตของ Samsung คือการใช้ความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยีในหลายอุตสาหกรรมเพื่อครองตลาด ขณะที่ DELTA ใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและความคล่องตัวในการพัฒนาโซลูชันเฉพาะทางให้กับอุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า

 

 

ความท้าทายในการแข่งขันและความผันผวนของตลาด

 

แม้ Samsung จะมีความแข็งแกร่งในหลายธุรกิจ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ในธุรกิจ Semiconductors Samsung ต้องแข่งขันกับ SK Hynix และ Micron ในตลาดหน่วยความจำ รวมถึง TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company - บริษัทผลิตชิปให้บุคคลที่สามรายใหญ่ที่สุดของโลก) ในธุรกิจการผลิตชิปให้บุคคลที่สาม การพึ่งพารายได้จากธุรกิจSemiconductors ที่มีความผันผวนสูงตามวงจรอุตสาหกรรม (Semiconductor Cycle - ช่วงเวลาที่ราคาชิปขึ้นลงตามอุปสงค์อุปทาน) ก็เป็นความเสี่ยงสำคัญ เนื่องจากราคาหน่วยความจำมีการขึ้นลงตามอุปสงค์และอุปทานในตลาด

ในตลาดสมาร์ทโฟน Samsung เผชิญกับการแข่งขันจาก Apple ในกลุ่มพรีเมียม และแบรนด์จีนอย่าง Xiaomi, Oppo, Vivo ในกลุ่มราคาย่อมเยา การเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟนที่ชะลอตัวในหลายภูมิภาคก็ส่งผลต่อการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดจีนและความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างประเทศก็อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจในอนาคต

 

 

อนาคตและโอกาสการเติบโตในยุคดิจิทัล

 

Samsung มีโอกาสการเติบโตที่น่าสนใจในหลายมิติ โดยเฉพาะจากการขยายตัวของเทคโนโลจี AI ที่ต้องการหน่วยความจำและพลังประมวลผลสูง การพัฒนาเครือข่าย 5G และ 6G ที่จะเพิ่มความต้องการอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงการเติบโตของตลาด Internet of Things (IoT) และยานยนต์ไฟฟ้าที่ต้องใช้ Semiconductors เป็นจำนวนมาก

 

การลงทุนในเทคโนโลยี Micro LED และ QD-OLED ที่มีคุณภาพสูงกว่าหน้าจอเดิมก็เป็นโอกาสสำคัญ รวมถึงการพัฒนาสมาร์ทโฟนพับได้และอุปกรณ์รูปแบบใหม่ที่อาจสร้างตลาดใหม่ได้ Samsung ยังมีแผนขยายการผลิตในภูมิภาคต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และเข้าใกล้ลูกค้ามากขึ้น การเสริมสร้างความสามารถด้าน AI และ Software ก็จะช่วยให้ Samsung สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่ได้มากขึ้น

 

 

สนใจลงทุนในหุ้น Samsung (Ticker : 005930) และหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

 

Stocks Mentioned
005930.KS
Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5