Tesla Inc. (TSLA) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกาที่จดทะเบียนใน NASDAQ กำลังเป็นศูนย์กลางความสนใจของนักลงทุนทั่วโลก ไม่เพียงเพราะการเป็นผู้บุกเบิกในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) แต่ยังด้วยวิสัยทัศน์ที่ล้ำหน้าในด้าน AI และระบบขับขี่อัตโนมัติ (Full Self-Driving) ที่สัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์โลกไปตลอดกาล บริษัทแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์ธรรมดา แต่เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีที่ครอบคลุมตั้งแต่ระบบกักเก็บพลังงาน ไปจนถึงการพัฒนาโรบอต Optimus และแนวคิดการขนส่งแบบไร้คนขับ ที่สร้างความหวังและความกังวลให้กับนักลงทุนไปพร้อมๆกัน
Tesla ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 โดย Martin Eberhard และ Marc Tarpenning แต่คนที่ทำให้บริษัทแห่งนี้กลายเป็นที่รู้จักทั่วโลกคือ Elon Musk ที่เข้าร่วมในฐานะนักลงทุนหลักและกลายเป็น CEO ในเวลาต่อมา Musk นำ Tesla จากบริษัทเล็กที่เกือบล้มละลายหลายครั้งมาสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก การเปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกอย่าง Tesla Roadster ในปี 2008 เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติยานยนต์ไฟฟ้า ตามด้วย Model S ในปี 2012 ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคต่อรถยนต์สะอาด
การพัฒนาอย่างต่อเนื่องนำไปสู่การเปิดตัว Model 3 ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับตลาดมวลชน และ Model Y ที่ตอบสนองความต้องการของตลาด SUV ขนาดกลาง รวมถึง Cybertruck ที่มีดีไซน์แตกต่างจากรถกระบะทั่วไป Tesla ไม่ได้หยุดอยู่แค่การผลิตรถยนต์ แต่ยังขยายไปสู่ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน ผ่านผลิตภัณฑ์อย่าง Powerwall และ Megapack และการพัฒนาเครือข่ายสถานีชาร์จ Supercharger ที่ครอบคลุมทั่วโลก
ในช่วงเวลาล่าสุด Elon Musk ได้เข้าร่วมรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในฐานะที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพรัฐบาล ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางนโยบายด้านพลังงานสะอาดและการขนส่ง การมีส่วนร่วมในระดับนโยบายนี้อาจเปิดโอกาสให้ Tesla ได้รับประโยชน์จากนโยบายที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่และโครงสร้างพื้นฐานรถยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันก็อาจเกิดความกังวลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้นจากหน่วยงานกำกับดูแล
Tesla มีโครงสร้างรายได้ที่กระจายความเสี่ยงได้ดี โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่
ธุรกิจยานยนต์ที่เป็นแกนหลักของบริษัท ครอบคลุมการขาย Model 3, Model Y, Model S, Model X และ Cybertruck รวมถึงรายได้จากการให้เช่ารถยนต์และเครดิตกฎระเบียบ (Regulatory Credits) ที่ขายให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกและการขยายการผลิตในภูมิภาคต่าง ๆ
ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานและโซลาร์เซลล์ที่ครอบคลุม Powerwall สำหรับบ้าน Megapack สำหรับระดับอุตสาหกรรม และระบบโซลาร์รูฟ กลุ่มธุรกิจนี้มีศักยภาพเติบโตสูงจากความต้องการพลังงานสะอาดและการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ต้องการระบบกักเก็บพลังงานเสถียร
ธุรกิจบริการที่ครอบคลุมการบำรุงรักษารถยนต์ เครือข่ายสถานีชาร์จ Supercharger การขายชิ้นส่วนอะไหล่ และบริการประกันภัย Tesla Insurance กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตจากการขยายฐานลูกค้ารถยนต์และการเปิดบริการชาร์จให้กับรถยนต์ยี่ห้ออื่น
Tesla มีกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่เน้นการบูรณาการแนวดิ่ง (Vertical Integration) โดยควบคุมห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่การผลิตแบตเตอรี่ ชิ้นส่วนสำคัญ ไปจนถึงซอฟต์แวร์และการขายตรงถึงผู้บริโภค ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพและต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทมีการลงทุนอย่างหนักในด้านการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะในเทคโนโลยี Full Self-Driving (FSD) ที่ใช้ระบบ AI แบบ end-to-end neural networks และข้อมูลการขับขี่ในโลกจริงหลายพันล้านไมล์
นอกจากนี้ Tesla ยังมีการขยายฐานการผลิตไปยังหลายภูมิภาค ผ่าน Gigafactory (โรงงานขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อผลิตแบตเตอรี่หรือรถยนต์ไฟฟ้าในปริมาณมาก โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีทันสมัยและรองรับการผลิตพลังงานสะอาดเป็นหลัก) ในสหรัฐอเมริกา จีน เยอรมนี และแผนการขยายในอนาคต ช่วยลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และต้นทุนการขนส่ง บริษัทยังมีแผนการพัฒนาโรบอต Optimus สำหรับใช้งานในโรงงานและบ้าน รวมถึงบริการ Robotaxi ที่จะใช้เทคโนโลยี FSD
เทียบกับ BYD (1211.HK)ในจีน: BYD ก่อตั้งในปี 1995 เริ่มจากธุรกิจแบตเตอรี่ก่อนขยายสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้าน EV และแบตเตอรี่ ด้วยจุดแข็งในสายการผลิตครบวงจรตั้งแต่แบตเตอรี่ โมดูล ไปจนถึงรถยนต์ทั้ง BEV และ PHEV ทั้งสองบริษัทแข่งขันกันในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลกโดยมีเป้าหมายคล้ายกันคือการลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลและพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะ โดยมีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม ความยั่งยืน และภาพลักษณ์ล้ำสมัย
BYD มีรายได้หลักจากการขายรถยนต์ในประเทศจีนเป็นหลักและขยายไปต่างประเทศผ่านเครือข่ายดีลเลอร์ พร้อมควบรวมธุรกิจแบตเตอรี่พลังงานและระบบราง ในขณะที่ Tesla สร้างรายได้หลักจากการขายรถยนต์รุ่นต่างๆ (Model 3, Y, S, X) และธุรกิจพลังงาน (เช่น Solar Roof, Powerwall) โดยเน้นการควบคุมซัพพลายเชนและใช้เทคโนโลยีซอฟต์แวร์เป็นหัวใจสำคัญ ความแตกต่างที่ชัดเจนคือ BYD มีสายการผลิตที่หลากหลายและเน้นตลาดมวลชนในจีนและประเทศเกิดใหม่ ในขณะที่ Tesla เน้นการเป็นแบรนด์พรีเมียมระดับโลก มีความได้เปรียบในซอฟต์แวร์ ข้อมูลรถยนต์ และระบบ Autopilot ที่พัฒนาในบ้าน นอกจากนี้ Tesla ยังเน้นการเติบโตผ่านนวัตกรรมและการสร้าง Ecosystem แบบปิด ในขณะที่ BYD ใช้จุดแข็งของต้นทุนและการผลิตในประเทศเพื่อขยายส่วนแบ่งตลาดอย่างรวดเร็ว
เทียบกับ NEX Point Public Company Limited (NEX): แม้ไทยจะยังไม่มีบริษัทที่เทียบเท่า Tesla โดยตรงแต่บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง NEX เริ่มต้นจากการเป็นธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ไอที ก่อนจะพลิกโฉมเข้าสู่ธุรกิจยานยนต์พลังงานสะอาดอย่างเต็มตัว โดยมุ่งเน้นที่การผลิตและจัดจำหน่ายรถโดยสารไฟฟ้า (EV Bus) รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ EV ในประเทศไทย ทำให้ NEX กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในการขับเคลื่อนระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ในการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าที่โรงงาน Modern Manufacturing Center อีกด้วย
ทั้ง NEX และ Tesla มีเป้าหมายเดียวกันในการขับเคลื่อนสังคมสู่การใช้พลังงานสะอาด โดยมีความคล้ายกันในฐานะผู้พัฒนาโซลูชันยานยนต์ไฟฟ้าและระบบสนับสนุน EV ที่ตอบโจทย์ภาครัฐและเอกชน กลุ่มเป้าหมายหลักของทั้งสองคือผู้ใช้งานระบบขนส่งสมัยใหม่ที่ต้องการลดต้นทุนพลังงานและมลพิษ อย่างไรก็ตาม NEX มุ่งโฟกัสในตลาด B2G (Business to Government) และ B2B (Business to Business) ภายในประเทศผ่านการผลิต EV Bus และให้บริการซ่อมบำรุง พร้อมขยายเครือข่ายชาร์จไฟฟ้าร่วมกับพันธมิตรในประเทศ ส่วน Tesla ทำตลาดระดับโลกในกลุ่ม B2C (Business to Consumer) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เน้นนวัตกรรม สมรรถนะ และซอฟต์แวร์ขับเคลื่อนอัจฉริยะ ความแตกต่างสำคัญคือ NEX ยังอยู่ในช่วงการขยายฐานการผลิตและเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดขนส่งสาธารณะ ในขณะที่ Tesla สร้างแบรนด์ระดับโลกผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีภายในองค์กร และขยาย ecosystem ครอบคลุมทั้ง EV, พลังงานแสงอาทิตย์ และระบบ AI
แม้ว่า Tesla จะเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า แต่บริษัทยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมและบริษัทเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ความผันผวนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศและภาษีนำเข้าที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนและการขยายตัวในตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ เทคโนโลยี Robotaxi ที่บริษัทพัฒนายังเผชิญกับข้อจำกัดทางเทคนิค โดยระบบ FSD ปัจจุบันยังต้องการการกำกับดูแลจากมนุษย์และใช้เส้นทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ทำให้มีข้อสังเกตว่าบริการ Robotaxi อาจจะเป็นเพียงระบบขนส่งแบบวงจรกับเส้นทางที่จำกัดและความเร็วต่ำ การนำไปใช้อย่างแพร่หลายอาจใช้เวลาหลายปี และในช่วงเวลานั้นคู่แข่งอย่าง Waymo อาจขยายตัวไปทั่วโลกได้แล้ว
แม้จะมีความท้าทาย แต่ Tesla ยังคงมีโอกาสมหาศาลในอนาคต การเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ สร้างโอกาสให้ Tesla ขยายฐานลูกค้าและตลาดใหม่ การพัฒนาเทคโนโลจี FSD ที่สามารถขับขี่ได้โดยไม่ต้องมีการกำกับดูแล จะเปิดโอกาสธุรกิจใหม่ในด้านบริการขนส่งและโลจิสติกส์ ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานมีศักยภาพเติบโตสูงจากความต้องการโครงสร้างพื้นฐาน AI และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
การพัฒนาโรบอต Optimus หากประสบความสำเร็จ จะสร้างตลาดใหม่ในด้านระบบอัตโนมัติสำหรับโรงงานและบ้าน นอกจากนี้ Tesla ยังมีโอกาสในการขยายบริการ Tesla Insurance และ Tesla Energy ให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและต้นทุนต่ำลง
สนใจลงทุนในหุ้น Tesla (Ticker: TSLA หรือ DR: TSLA80) และหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน