Derivatives

สร้างรายได้จาก Time Value ด้วย Covered Call เวอร์ชัน SET50 Index: Long Futures + Short Call

14 Nov 25 2:59 PM
รู้จักผลิตภัณฑ์ลงทุน3
สรุปสาระสำคัญ

บทความนี้ชวนมาดู “Covered Call เวอร์ชันตลาดไทย” ผ่าน SET50 Index Futures และ SET50 Index Options ว่าจะออกแบบกลยุทธ์แบบ Long SET50 Futures + Short Call ยังไงให้เปลี่ยนตลาดนิ่ง ๆ ให้กลายเป็น “รายได้” จาก Time Value ไปพร้อมกับยังรักษาโอกาสเติบโตของพอร์ตบางส่วน พร้อมตัวอย่าง ตารางเปรียบเทียบ และแนวคิดเลือก Strike / เดือนหมดอายุ รวมถึงการบริหารสถานะและความเสี่ยงที่ต้องเข้าใจ ก่อนนำไปใช้เทรดจริงบน

บทนำ: เมื่อพอร์ตนิ่ง แต่เราอยากให้เงินทำงานมากกว่านี้

 

หลายคนที่ลงทุนหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย น่าจะเคยเจอความรู้สึกแบบเดียวกัน
“ถือหุ้นมาหลายปี ดัชนีก็ยังวน ๆ แถวเดิม รายได้หลักมาจากปันผลปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น”

 

ถ้าคุณมองตลาดหุ้นไทยวันนี้ที่ SET50 อยู่ราว ๆ 840 จุด แล้วรู้สึกว่า
“มันไม่ขึ้นแรง แต่มันก็ไม่ได้พัง”


คำถามคือ เราจะเปลี่ยนภาวะ Sideway แบบนี้ให้กลายเป็น “รายได้” เพิ่มเติมให้พอร์ตได้ยังไง

หนึ่งในกลยุทธ์ที่นักลงทุนสาย Options ทั่วโลกใช้กัน คือ “Covered Call” ที่เปลี่ยนการถือสินทรัพย์เสี่ยงให้ออกดอกเบี้ยเป็นพรีเมียมรายงวด ในตลาดไทย ปัจจุบันยังไม่มี Options บนหุ้นเดี่ยวแบบอเมริกา แต่มีเครื่องมืออย่าง SET50 Index Futures และ SET50 Index Options บน TFEX ที่สามารถต่อยอดแนวคิดเดียวกันได้

 

จากพอร์ตหุ้นไทย สู่การต่อยอดพอร์ตการลงทุน ผ่าน SET50 Index Futures & Options

 

SET50 คือเป็นหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง ที่ผ่านการคัดเลือกทั้งด้านมูลค่าการซื้อขายและปริมาณหุ้นซื้อขายที่มีขนาดใหญ่ 50 อันดับแรกของไทย ซึ่งเป็นตัวแทนของตลาดไทยที่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติใช้วัดภาพรวมมาตลอด

บน TFEX มีผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิง SET50 อยู่ 2 ตัวที่เกี่ยวข้องกับบทความนี้โดยตรง

  1. SET50 Index Futures (S50)
    เป็นสัญญาฟิวเจอร์สที่อ้างอิงดัชนี SET50 โดยตรง ตัวคูณดัชนีอยู่ที่ 200 บาทต่อ 1 จุดดัชนี เช่น ถ้า SET50 Futures ราคา 840 จุด มูลค่าสัญญาจะเท่ากับ 840 × 200 = 168,000 บาทต่อสัญญา(ข้อมูลอ้างอิงTFEX Futures S50:สรุปลักษณะสัญญา SET50 Index Futures)
  2. SET50 Index Options (S50C / S50P)
    เป็นออปชันที่อ้างอิง SET50 เช่นกัน มีตัวคูณ 200 บาทต่อ 1 จุดเหมือนกัน และมีทั้ง Call และ Put ให้เลือกใช้ โดยเป็นแบบ European Exercise ซึ่งใช้สิทธิ์ได้เฉพาะวันหมดอายุ (ข้อมูลอ้างอิงTFEX Options: สรุปลักษณะสัญญา SET50 Index Options)

ดังนั้น ถ้าเราต้องการต่อยอดการลงทุนตลาดหุ้นไทยในภาพรวม เราสามารถใช้ Long SET50 Futures แทนการถือ “ตะกร้าหุ้นใหญ่ทั้งกระดาน” แล้วนำ SET50 Index Options มาออกแบบกลยุทธ์เพิ่มรายได้จาก Time Value ได้เช่นกัน

 

กลยุทธ์ออปชัน Covered Call เวอร์ชัน SET50: Long Futures + Short Call

ในตลาดต่างประเทศ Covered Call คือการ “ถือหุ้น + Short(ขาย) Call หุ้น”


แต่ในตลาดไทย เราสามารถประยุกต์เป็นโครงสร้างดังนี้

 

- Long SET50 Index Futures 1 สัญญา

- Short Call  SET50 Index Options 1 สัญญา (Strike สูงกว่าระดับดัชนีในระดับต่างๆตามมุมมองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET50 index)

 

ตัวอย่าง สมมติที่ระดับ SET50 = 840 จุด

 

สมมติว่า

  • คุณ Long สัญญา SET50 Futures ที่ราคา 840 จุด
  • คุณ Short สัญญา SET50 Call Options (เดือนเดียวกัน) ที่ Strike 860 จุด ได้พรีเมียม 8 จุด

 

แปลเป็น “ตัวเลขจริง”

  • มูลค่า 1 จุด = 200 บาท
  • พรีเมียม 8 จุด = 8 × 200 = 1,600 บาทต่อสัญญา

 

คุณจะได้เงิน 1,600 บาท เข้าพอร์ตทันทีจากการ Short Call แลกกับเงื่อนไขว่า ถ้าวันหมดอายุ SET50 ปรับขึ้นไปสูงกว่า 860 จุด คุณจะได้กำไรจากฝั่ง Futures จำกัดอยู่ในกรอบที่ Strike + พรีเมียมที่รับมา

 

จำลอง 3 เหตุการณ์สำคัญในวันหมดอายุ

 

กรณีที่ 1: ตลาดนิ่ง ปิดที่ 840 จุด

  • Long Futures ที่ 840 → ปิดที่ 840 กำไร/ขาดทุน = 0
  • Short Call Strike 860 → หมดอายุไร้มูลค่า (เพราะ SET50 < 860) คุณเก็บพรีเมียม 8 จุดเต็ม

ผลรวมทั้งกลยุทธ์

  • กำไร = 8 จุด × 200 = 1,600 บาท

 

กรณีที่ 2: ตลาดขึ้นแรง ปิดที่ 880 จุด

  • Long Futures จาก 840 → 880 กำไรจาก Futures = 40 จุด = 8,000 บาท
  • Short Call Strike 860: ตอนหมดอายุมีมูลค่าในตัว = 880 − 860 = 20 จุด
    แต่คุณรับพรีเมียมมา 8 จุดตั้งแต่แรก
    ขาดทุนสุทธิจากฝั่ง Call = 20 − 8 = 12 จุด = 2,400 บาท

ผลรวมทั้งกลยุทธ์

กำไรรวม = 40 − 12 = 28 จุด = 5,600 บาท

เทียบกับกรณีที่คุณ Long Futures เพียงอย่างเดียว โดยไม่ Short Call คุณจะกำไรเต็ม 40 จุด (8,000 บาท) แต่ด้วย Covered Call คุณยอมลดกำไรลงเหลือ 28 จุด แลกกับ “พรีเมียมแน่นอนตอนต้น” ที่ช่วยให้คุณมีกระแสเงินสด แม้ตลาดไม่ไปไหน

 

กรณีที่ 3: ตลาดลง ปิดที่ 820 จุด

  • Long Futures จาก 840 → 820 ขาดทุนจาก Futures = 20 จุด = 4,000 บาท
  • Short Call Strike 860 หมดอายุไร้มูลค่า คุณเก็บพรีเมียม 8 จุดเต็ม = 1,600 บาท

ผลรวมทั้งกลยุทธ์

ขาดทุนสุทธิ = 20 − 8 = 12 จุด = 2,400 บาท

เทียบกับกรณี Long Futures อย่างเดียว (ที่ขาดทุนเต็ม 4,000 บาท)
การมี Short Call ช่วย “บรรเทา” ขาดทุนลงมาเหลือ 2,400 บาท

 

ภาพรวมคือ Covered Call บน SET50 ทำหน้าที่ “ลดความผันผวนของผลตอบแทน” และช่วยให้สภาพตลาดที่ไม่มีทิศทางชัดเจน(sideway) ให้กลายเป็นรายได้จาก Time Value แต่ต้องยอมแลกกับการจำกัดกำไรเมื่อดัชนีขึ้นแรงมากกว่าที่คาด

 

วิธีเลือก Strike และอายุสัญญาให้เหมาะกับมุมมองตลาด

สิ่งที่ทำให้ Covered Call เวอร์ชัน SET50 มีความยืดหยุ่นในการใช้มากขึ้นคือ นักลงทุนสามารถเลือก Strike และเดือนหมดอายุให้เหมาะสมกับมุมมองตลาดของตนเองได้

 

แนวคิดการเลือก Strike (ราคาใช้สิทธิ์)

 

1. เน้น “สร้างรายได้จากการ Short Call” เป็นหลัก
มองว่าตลาดแถว 840 จุดน่าจะนิ่ง ๆ หรือขึ้นไม่ไกล
อาจเลือก Strike ที่ใกล้ระดับดัชนี เช่น 850 หรือ 860 จุด
พรีเมียมที่รับได้ต่อสัญญาจะค่อนข้างสูง แต่โอกาสถูกใช้สิทธิ์ก็สูงตาม

 

2. เผื่อขึ้นแรงตลาดยังมี Upside แต่ไม่รู้เมื่อไหร่

มองว่ามีโอกาสที่ SET50 จะวิ่งแรงจาก 840 ไปได้ไกล
เช่น คุณอยากให้ดัชนีมีพื้นที่วิ่งถึง 880–900 จุด
ก็อาจเลือก Strike สูงขึ้น เช่น 880 หรือ 890 จุด
พรีเมียมจะลดลง แต่เปิดพื้นที่ให้กำไรจาก Futures เข้ามากขึ้น

 

แนวคิดการเลือกอายุสัญญา(Series)

 

1. ถ้าเลือกเดือนใกล้หมดอายุ (เช่น สัญญาภายในเดือน)
คุณจะได้ประโยชน์จาก Time Decay ที่ลดเร็วขึ้น สามารถ “ทำ Covered Call รอบใหม่” ได้บ่อยครั้ง แต่ต้องคอยดูพอร์ตและปรับกลยุทธ์ถี่ขึ้น

 

2. ถ้าเลือกเดือนที่ไกลออกไป 2–3 เดือน
คุณไม่ต้องจัดการสถานะบ่อย แต่ Time Decay จะช้าลง ค่าพรีเมียมที่ลดลงต่อเวลาอาจไม่คุ้มเท่าการเลือกสัญญาที่ใกล้หมดอายุ(ออปชันที่มีอายุคงเหลือเยอะความเร็วในการลดลงของค่าพรีเมียมจำต่ำเทียบกับตัวอายุที่น้อยกว่า)

 

หลังเปิดกลยุทธ์แล้ว ทำอะไรต่อ? (การบริหารสถานะ)

Covered Call ไม่ใช่แค่ “เปิดแล้วจบ” แต่มีการตัดสินใจระหว่างทางที่สำคัญ โดยเฉพาะบนตลาดที่เหวี่ยงเร็วอย่าง TFEX

ถ้าดัชนี SET50 ขึ้นมาใกล้ Strike ก่อนหมดอายุ


สมมติจาก 840 ขึ้นมา 858–860 จุด เหลือเวลาอีก 7 วันหมดอายุ

คุณมีทางเลือกหลัก ๆ เช่น

  1. ปล่อยให้โดนใช้สิทธิ์
    ยอมรับว่ากำไรจาก Futures ถูก Lock แถวระดับ Strike + พรีเมียม ถือว่าเป็นการ “ขายออกจากตลาด” ที่ราคาที่คุณพอใจ
  2. Roll Up หรือ Roll Out
    คุณอาจซื้อปิด Call Options ตัวเดิม แล้วไป Short Call Options Series ใหม่ที่ Strike สูงขึ้น (Roll Up) หรือขยายอายุสัญญาออกไป (Roll Out) เพื่อให้ดัชนีมีพื้นที่วิ่งต่อ ในขณะที่คุณยังคงสร้างรายได้จากพรีเมียมรอบใหม่

(สิ่งที่ต้องระวัง หากปิดสถานะของออปชันเพื่อเปลี่ยนอายุสัญญาให้ไกลขึ้นควรทำคู่กับ Futures ด้วย เพื่อป้องกันความเสี่ยงการถือสถานะShort Options เพียงอย่างเดียว กรณีตลาดปรับขึ้นโดยไม่มี Long futures จะทำให้มีโอกาสขาดทุนแบบไม่จำกัดซึ่งขึ้นอยู่กับการปรับตัวขึ้นของ SET50 Index )

 

ถ้าดัชนีลงจาก 840 มาแถว 820 จุด


Call Options ที่คุณ Short ไว้มักจะมูลค่าลดลงเร็ว หรือแทบไร้มูลค่าก่อนหมดอายุ

คุณสามารถปล่อยให้หมดอายุ แล้วเก็บพรีเมียมเต็มหรือซื้อปิดก่อนเวลา(หมดอายุสัญญา) เพื่อล็อกกำไรจากฝั่ง Call แล้วมองหาจังหวะ Short Call Options ใหม่ตามมุมมองที่มีต่อSET 50 Index (กลับไปเริ่มที่ขั้นตอนพิจารณาว่าคุณมีมุมมองต่อ SET50 Index อย่างไรเพื่อใช้การกำหนดStrike และอายุออปชัน เพื่อทำการ Short Call Options รับค่าพรีเมียม)

 

ความเสี่ยง และความเข้าใจผิดที่ต้องเคลียร์ก่อนเริ่มใช้กลยุทธ์ Covered Call

แม้ Covered Call จะฟังดู “ปลอดภัย” กว่าการเล่น Futures หรือ Short Options แบบตรงๆแต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องรู้

  1. ความเสี่ยงจาก Futures และ Leverage
    การ Long SET50 Futures หนึ่งสัญญาเทียบเท่าการถือสัญญาหลักแสนบาทต่อสัญญา แต่ใช้เงินวางหลักประกันเพียงบางส่วน หมายความว่าถ้าตลาดลงแรง การขาดทุนจะขยายตัวเร็วกว่าเพราะเงินที่วางมีจำนวนน้อยกว่ามูลค่าสัญญา และอาจมีความเสี่ยงโดน Margin Call ได้
  2. ความเสี่ยงจากการเสียโอกาสกำไร
    หลายคนรู้สึก “เจ็บใจ” เมื่อ SET50 พุ่งทะลุ Strike ไปไกล แล้วรู้สึกเหมือน “ขายหมู” ทั้งที่จริง ๆ แล้ว กลยุทธ์นี้ออกแบบมาเพื่อแลก “โอกาสได้กำไรไม่จำกัด” กับ “รายได้ชัดเจนจากพรีเมียม” ตั้งแต่วันแรก
  3. ความเข้าใจผิดว่า Covered Call คือกลยุทธ์ไร้ความเสี่ยง
    ถ้าตลาดดิ่งจาก 840 ไป 780 จุด แม้พรีเมียมจาก Call จะช่วยลดขาดทุนลง แต่ก็ไม่อาจป้องกัน Downside ทั้งหมดได้

 

ดังนั้น กลยุทธ์นี้เหมาะกับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงของ Futures ได้อยู่แล้ว แต่ต้องการ “ทำให้พอร์ตทำงาน” มากขึ้นในช่วงตลาดนิ่งหรือขึ้นไม่แรง

 

ตารางเปรียบเทียบ: Long SET50 Futures เฉย ๆ vs กลยุทธ์ Covered Call

สมมติ 1 สัญญา SET50 Futures ที่ 840 จุด และโครงสร้าง Covered Call แบบเดิม (Long Futures 840 + Short Call Strike 860 ได้พรีเมียม 8 จุด)

สถานการณ์วันหมดอายุ

ระดับ SET50

กลยุทธ์

กำไร/ขาดทุน (จุด)

กำไร/ขาดทุน (บาท)

ตลาดนิ่ง

840

Long Futures

0

0

   

Covered Call

+8

+1,600

ตลาดขึ้นแรง

880

Long Futures

+40

+8,000

   

Covered Call

+28

+5,600

ตลาดลง

820

Long Futures    

−20

−4,000

   

Covered Call

−12

−2,400

จากตารางจะเห็นว่า

  • Covered Call ช่วย “กำหนดช่วงผลตอบแทน” ให้ไม่เหวี่ยงเท่าการ Long Futures เพียงอย่างเดียว
  • ได้ผลตอบแทน(ค่าพรีเมียม)เพิ่มเมื่อราคานิ่ง
  • ขาดทุนลดลงเมื่อราคาลง
  • แลกกับกำไรที่ถูกจำกัดเมื่อราคาขึ้นแรง

*หมายเหตุ : กำไร/ขาดทุนจากตัวอย่างในบทความนี้ยังไม่ได้รวมค่าธรรมเนียมการซื้อขายและค่าใช้จ่ายอื่นๆ

 

บทสรุป Covered Call เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ Options บริหารความเสี่ยง ไม่ใช่สูตรวิเศษทำกำไร

 

Covered Call ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ “ทำกำไรสูงสุดในทุกเงื่อนไข” แต่ถูกออกแบบมาให้ใช้ Options บริหารความเสี่ยง – ผลตอบแทน” ให้สอดคล้องกับตามมุมมองของนักลงทุน

 

ถ้าคุณมองว่า SET50 แถว 840 จุดน่าจะเป็นตลาดที่ไม่น่าปรับลงแรง และมีโอกาสขึ้นได้บ้าง แต่ไม่อยากคาดทิศทางแบบสุดทาง กลยุทธ์ Long Futures + Short Call อาจเป็นวิธีเปลี่ยนพอร์ตให้สร้างรายได้สม่ำเสมอขึ้น

 

สิ่งสำคัญ คือ ต้องเข้าใจโครงสร้าง Payoff อย่างถ่องแท้ รู้ว่าคุณกำลัง “ยอมแลกอะไร” เพื่อ “ได้อะไรกลับมา” บริหารขนาดสัญญาให้เหมาะกับพอร์ต และไม่ลืมว่าตลาดอนุพันธ์มี Leverage สูง จึงควรวางแผนทั้งด้านเงินลงทุนและจุดตัดขาดทุนให้ดี

🚀  ลงทุน TFEX เข้าถึงโอกาสทำกำไรในตลาดอนุพันธ์ได้อย่างง่ายดายแค่ปลายนิ้ว

เพียงแค่เปิดบัญชีกับ InnovestX และ Activate บัญชี TFEX

  1. เปิดบัญชี InnovestX👉https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
  2. Activate TFEX: อ่านขั้นตอนการเปิดใช้บริการ👉https://www.innovestx.co.th/products/derivatives/product-tfex

 

Disclaimer:

⚠️ คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน  Futures and Options มีความเสี่ยงสูงที่อาจก่อให้เกิดผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจึงไม่เหมาะสมกับทุกคน การซื้อขาย Options มีความเสี่ยงที่มูลค่าสัญญาจะลดลงตามเวลา (Time decay) ความเสี่ยงที่ท่านอาจสูญเสียเงินที่จ่ายเพื่อซื้อสิทธิ์ในตอนแรก (ค่าพรีเมียม) ทั้งหมด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

 

 

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5