ในปี 2567 BJC ตั้งเป้ายอดขายเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY (เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ) และอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัว 80-100bps YoY จากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ลดลงในกลุ่ม PSC และกลุ่ม CSC และยอดขายมาร์จิ้นสูงที่เพิ่มขึ้นในกลุ่ม MSC ในขณะที่ BJC คาดว่าดอกเบี้ยจ่ายจะสูงขึ้นตามต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นและอัตราภาษีจะสูงขึ้นตามขาดทุนทางภาษียกมาที่จะค่อยๆ ลดลง เรายังคงสมมติฐานการเติบโตของยอดขายและมาร์จิ้นของเราไว้ต่ำกว่าเป้าของ BJC โดยยึดหลักความระมัดระวัง แต่รวมเอาดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายภาษีที่สูงขึ้นเข้ามาไว้ในประมาณการ ส่งผลทำให้เราปรับลดประมาณการกำไรลง 4% ในปี 2567 และ 8% ในปี 2568 ปัจจุบันหุ้น BJC เทรดที่ PE ปี 2567 ระดับ 18 เท่า ใกล้เคียงกับระดับ -2S.D. จาก PE เฉลี่ย 10 ปี เราแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ BJC โดยให้ราคาเป้าหมายใหม่สิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7.1% และการเติบโตระยะยาว 2.5%) ที่ 29 บาท (จาก 32 บาท) เป้าหมายการเติบโตของยอดขายปี 2567 BJC ตั้งเป้ายอดขายปี 2567 เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY โดยได้แรงหนุนจากทุกกลุ่มธุรกิจ ยอดขายกลุ่ม MSC คาดว่าจะเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY จาก SSS ที่เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง YoY และการขยายสาขา โดยใน 1Q67 SSS ของบริษัทกลับมาเติบโต 2-3% YoY ฟื้นตัวจาก -0.5% YoY ใน 4Q66 ซึ่งได้รับผลกระทบจากยอดขายสินค้าที่ไม่ใช่อาหารที่ลดลงและราคาสินค้าอาหารสดที่ลดลง สำหรับการขยายสาขา ในปี 2567 BJC ตั้งเป้าเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ตเพิ่ม 3 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ต 7 สาขา Big C Mini 200 สาขา Big C Depot 3 สาขา และร้านขายยาเพรียว 11 สาขา ในส่วนของพื้นที่เช่า พื้นที่เช่าที่ว่างอยู่ 16,000 ตร.ม.ที่สาขาราชดำริตั้งแต่ต้นปี 2566 (1.5% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ก่อนหน้านี้นั้น บริษัทตั้งเป้าปรับปรุงพื้นที่ 7,000 ตร.ม. เป็นพื้นที่เช่าใหม่ โดยตั้งเป้าแล้วเสร็จในเดือนก.ย. 2567 ยอดขายกลุ่ม non-MSC คาดว่าจะเติบโตดังนี้: 1) เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ YoY ในกลุ่ม PSC โดยยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้วจะอยู่ในระดับทรงตัว YoY จากการปรับราคาผลิตภัณฑ์ลดลงตามต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงท่ามกลางยอดขายบรรจุภัณฑ์กระป๋องที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง YoY; 2) เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับกลางถึงสูง YoY ในกลุ่ม CSC จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่; 3) เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY ในกลุ่ม H&TSC จากการกลับมาเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐใน 2H67 ตั้งเป้ามาร์จิ้นกว้างขึ้นในปี 2567 BJC ตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นปี 2567 ขยายตัว 80-100bps YoY โดยได้แรงหนุนจากทุกกลุ่มธุรกิจ (ยกเว้นกลุ่ม H&TSC เนื่องจากยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์ที่มีมาร์จิ้นสูงฟื้นตัวช้า) และโครงการลดต้นทุนที่ประมาณ 30bps YoY อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่ม MSC น่าจะเติบโต YoY โดยเกิดจากยอดขายสินค้า private brand มาร์จิ้นสูงที่เพิ่มขึ้น 1% YoY สู่ 13-14% ในปี 2567 และการจัดการกิจกรรมส่งเสริมการขายได้ดีขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่ม PSC และกลุ่ม CSC จะกว้างขึ้น YoY โดยได้แรงหนุนจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ต้นทุนโซดาแอชที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดใน 1H67 ในกลุ่ม PSC ต้นทุนน้ำมันปาล์มที่ลดลงอย่างน้อยใน 1Q67 และสัดส่วนการขายที่ดีขึ้นในผลิตภัณฑ์มาร์จิ้นสูงใหม่ในกลุ่ม CSC อัตราดอกเบี้ยและอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นในปี 2567 BJC ประเมินว่าต้นทุนทางการเงินปี 2567 จะยังอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับ 4Q66 เนื่องจากเราประเมินต้นทุนทางการเงินโดยเฉลี่ยได้ที่ 3.5% ต่อปี ใน 4Q66 และปี 2567 (เทียบกับ 3.2% ต่อปีโดยเฉลี่ยในปี 2566) เราจึงคาดว่าดอกเบี้ยจ่ายจะเพิ่มขึ้น 8% YoY (450 ลบ.) สู่ 5.8 พันลบ. ในปี 2567 ทั้งนี้ผลขาดทุนทางภาษียกมาจำนวน 6 พันลบ. จากทั้งหมด 7 พันลบ. จะหมดอายุในปี 2567 ด้วยเหตุนี้ BJC จึงคาดว่าอัตราภาษีที่แท้จริงของบริษัทจะอยู่ในช่วง low to mid-teen ในปี 2567 (เทียบกับ 8% ในปี 2566) และ high teen ในปี 2568 ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายของรัฐบาลใหม่ ปัจจัยเสี่ยง ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และแนวปฏิบัติด้านแรงงาน/การจ้างงาน (S) | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก BJC240305_T
|