ในปี 2567 CPAXT ตั้งเป้ายอดขายรวมเติบโตเป็นเลขหลักเดียวในระดับสูงจากการขยายร้าน/มอลล์และการเติบโตของ SSS พร้อมกับอัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้นจากการเน้นขายสินค้าอาหารสดที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้นและ synergy ที่มีมากขึ้น ท่ามกลางอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่ค่อนข้างทรงตัว โดยมีค่าใช้จ่ายที่ลดลงในธุรกิจ B2C หักล้างกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจ B2B เราคงประมาณการปี 2567 ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากเป้าหมายของบริษัทค่อนข้างสอดคล้องกับสมมติฐานของเรา เราคาดการณ์กำไรปกติ 4Q66 ที่แข็งแกร่งที่ 3.1 พันลบ. +15% YoY จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงและยอดขายที่ปรับตัวดีขึ้น และ +81% QoQ จากปัจจัยฤดูกาล เรายังคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ CPAXT ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7.1% และการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ที่ 35 บาท ตั้งเป้ายอดขายปี 2567 เติบโตแข็งแกร่ง ในปี 2567 CPAXT ตั้งเป้ายอดขายรวมเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับสูงทั้งจากธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C ผ่านทางผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น โดยไม่มีแผนทำ M&A ใหม่ สำหรับธุรกิจค้าปลีก บริษัทตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของ SSS และการขยายสาขา โดยจะเน้นเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าอาหารสด (อาหารสด อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมทาน อาหารพร้อมปรุง และเบเกอรี่) จาก 34% ของยอดขาย ใน 9M66 (41% สำหรับธุรกิจ B2B และ 26% สำหรับธุรกิจ B2C) สู่ 40-50% ในระยะกลางถึงระยะยาว และยอดขายผ่านช่องทาง O2O จาก 14% ของยอดขายใน 9M66 สู่ 15% ในปี 2567 ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทวางแผนขยายสาขา 8 สาขาในธุรกิจ B2B และ 106 สาขาในธุรกิจ B2C (100 สาขาในประเทศไทย และ 6 สาขาในประเทศมาเลเซีย) และปรับปรุงสาขา 10 สาขาในธุรกิจ B2B และ 50 สาขาในธุรกิจ B2C สำหรับธุรกิจมอลล์ บริษัทวางแผนปรับปรุงและขยายมอลล์ เพิ่มอัตราการเช่าพื้นที่สู่ 96-97% (สูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิด) ณ สิ้นปี 2567 จาก 95% ณ สิ้นปี 2566 และเพิ่มอัตราค่าเช่าจากการปรับสัดส่วนผู้เช่า บริษัทตั้งงบลงทุนปี 2567 ไว้ใกล้เคียงกับปี 2566 ที่ 1.3 หมื่นลบ. โดยเน้นขยายและปรับปรุงสาขาเป็นหลัก ตั้งเป้าขยายมาร์จิ้นปี 2567 ในปี 2567 CPAXT ตั้งเป้าขยายอัตรากำไรขั้นต้น ผ่านทางเพิ่มยอดขายสินค้าอาหารสดที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้น เพิ่มความหลากหลายของสินค้า และ synergy ที่มากขึ้นจากการจัดหาสินค้าทั่วโลกแบบครบวงจรร่วมกันสำหรับธุรกิจ B2B และ B2C รวมถึงการแข่งขันในตลาดที่สามารถบริหารจัดการได้ ในปี 2567 CPAXT ตั้งเป้าอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายสำหรับธุรกิจ B2C ลดลง เพราะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายด้านไอทีและการปรับปรุงสาขาไว้ในระดับสูงก่อนหน้านี้แล้ว แต่อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายสำหรับธุรกิจ B2B จะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์ม O2O มากขึ้น ทั้งนี้ CPAXT คาดว่าอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายสำหรับธุรกิจ B2B จะอยู่เริ่มทรงตัว/ลดลง YoY ตั้งแต่ปลายปี 2567 เป็นต้นไป จากยอดขายช่องทาง O2O ที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว คาดกำไร 4Q66 แข็งแกร่ง เราคาดว่ากำไรสุทธิ 4Q66 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 2566 ที่ 3.1 พันลบ. +25% YoY และ +85% QoQ โดยจะเติบโต YoY เป็นอันดับสองของกลุ่มพาณิชย์รองจาก CPALL หากไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษ 5 ลบ. จากการขายร้านค้าในประเทศจีน กำไรปกติ 4Q66 จะอยู่ที่ 3.1 พันลบ. +15% YoY และ +81% QoQ กำไรที่เพิ่มขึ้น YoY จะได้รับการสนับสนุนจาก: 1) ดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง (-23% YoY) หลังจากรีไฟแนนซ์หนี้ด้วยต้นทุนทางการเงินที่ลดลง; 2) ยอดขายที่ปรับตัวดีขึ้น ด้วย SSS ที่เติบโต 2% YoY สำหรับธุรกิจ B2B (รวม -1.5% YoY จากราคาสินค้าอาหารสดที่ลดลง) และ 5% YoY สำหรับธุรกิจ B2C ในประเทศไทยจากยอดขายสินค้าอาหารที่แข็งแกร่งและการมียอดขาย O2O สูงขึ้น ตามการเพิ่มบริการ same-day O2O delivery สำหรับร้านไฮเปอร์มาร์เก็ตทุกแห่งใน 4Q66 ปัจจัยบวกเหล่านี้จะช่วยชดเชย EBIT margin ที่ลดลงจากอัตรากำไรขั้นต้นที่แคบลงในธุรกิจ B2C จากการจัดโปรโมชั่นมากขึ้น และอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่สูงขึ้นในธุรกิจ B2B จากค่าใช้จ่ายในธุรกิจ O2O ที่สูงขึ้น ในขณะที่กำไรที่ปรับตัวดีขึ้น QoQ เกิดจากปัจจัยฤดูกาล ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายของรัฐบาลใหม่ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงานและของเสีย ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และแนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน (S) | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก CPAXT240112_T
|